กฎหมายว่าด้วยการปรับเป็นพินัย “สร้างความเป็นธรรม ขจัดความเหลื่อมล้ำทางสังคม”

พระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัย พ.ศ. 2565 ได้มีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2566 ที่ผ่านมา โดยกฎหมายดังกล่าวมีประชาชนให้ความสนใจและได้รับการกล่าวถึงอย่างมากมาย เนื่องจากแต่เดิมนั้นการกระทำความผิดเพียงเล็กน้อยก็อาจเป็นโทษทางอาญา โดยในการกระทำความผิดเล็กน้อยที่ต้องโทษปรับ หากไม่มีเงินค่าปรับก็จะต้องถูกกักขังแทนการจ่ายค่าปรับ จึงเกิดคำพูดที่ว่า “คุกมีไว้ขังคนจน” ซึ่งต่อจากนี้ไปกฎหมายว่าด้วยการปรับเป็นพินัยจะมาสร้างความเป็นธรรม ขจัดความเหลื่อมล้ำทางสังคม และลบล้างคำพูดดังกล่าวให้เหลือเพียง “คุกมีไว้ขังคนที่กระทำความผิดร้ายแรง”

“การปรับเป็นพินัย” คือ การสั่งให้ผู้กระทำความผิดทางพินัย (ผู้ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย) ต้องชำระค่าปรับเป็นพินัย โดยมีการกำหนดหลักเกณฑ์ให้ใช้ดุลพินิจในการกำหนดค่าปรับที่ต้องชำระให้เหมาะสมและสอดคล้องกับการกระทำความผิดและฐานะของผู้กระทำผิด และในกรณีที่ไม่มีเงินชำระค่าปรับ อาจขอทำงานบริการสังคมหรือทำงานสาธารณประโยชน์แทนการชำระค่าปรับได้ โดยไม่มีการกักขังแทนค่าปรับดังเช่นที่เป็นอยู่ในคดีอาญา ไม่ต้องเข้าสู่กระบวนการทางอาญา และไม่มีประวัติอาชญากรรมติดตัวอีกต่อไป โดยกฎหมายดังกล่าวกำหนดให้มีคณะกรรมการว่าด้วยการปรับเป็นพินัยคอยให้คำแนะนำและคำปรึกษาเกี่ยวกับการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ของรัฐในการปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้ รวมทั้งเสนอแนะการออกกฎกระทรวงและกำหนดแนวทางการออกระเบียบหรือประกาศที่เกี่ยวข้อง

ทั้งนี้ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ทั้งในส่วนของหน่วยงานราชการส่วนกลางและส่วนภูมิภาค หน่วยงานราชการส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานอื่นของรัฐ ได้รับความรู้และมีความเข้าใจเกี่ยวกับพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัย พ.ศ. 2565 และกฎหมายลำดับรองที่ออกตามพระราชบัญญัติดังกล่าว รวมถึงการดำเนินคดีพินัยอย่างครบถ้วนทุกขั้นตอน ทั้งการดำเนินการในชั้นเจ้าหน้าที่ของรัฐ พนักงานอัยการ และศาล สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจึงได้จัดโครงการสัมมนาเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยการปรับเป็นพินัยและโครงการสัมมนาเชิงปฏิบัติการเพื่อเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยการปรับเป็นพินัย โดยมีการอภิปรายและการเสวนาเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายดังกล่าว เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุวัตถุประสงค์ของกฎหมายอย่างแท้จริง

สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจึงขอเชิญชวนทุกท่านเข้าร่วมรับชมการถ่ายทอดสดการสัมมนาดังกล่าว โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิและผู้ที่เกี่ยวข้องในการจัดทำกฎหมายว่าด้วยการปรับเป็นพินัยร่วมเป็นวิทยากร จำนวน 4 ครั้ง ประกอบด้วย

ครั้งที่ 1 วันศุกร์ ที่ 1 กันยายน 2566

ครั้งที่ 2 วันจันทร์ ที่ 11 กันยายน 2566 โดยมีศาสตราจารย์ ดร.บวรศักดิ์  อุวรรณโณ ประธานกรรมการว่าด้วยการปรับเป็นพินัย และผู้มีส่วนร่วมในการจัดทำกฎหมายว่าด้วยการปรับเป็นพินัย ร่วมเป็นวิทยากร

ครั้งที่ 3 วันจันทร์ ที่ 18 กันยายน 2566

และครั้งที่ 4 วันจันทร์ ที่ 25 กันยายน 2566

ตั้งแต่เวลา 9.00 น. ถึง 16.00 น.

ผ่าน Facebook Live สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา

(www.facebook.com/OCS.Krisdika)

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'ทนายถุงขนม' คอพาดเขียง! ลุ้นศาลรธน.ชี้ขาดคุณสมบัติ 'ความซื่อสัตย์-ฝ่าฝืนจริยธรรม'

ข้อหารือนี้เกี่ยวข้องกับการพิจารณาบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ อันเป็นหน้าที่และอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญที่จะเป็นผู้พิจารณาวินิจฉัย การวินิจฉัยชี้ขาดเป็นที่สุดย่อมเป็นหน้าที่และอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ การให้ความเห็นในกรณีนี้จึงเป็นไปเพื่อประโยชน์แก่ทางราชการในการบริหารราชการแผ่นดินเท่านั้น'

นายกฯซวยแล้ว! ภาคปชช.อ้างคำวินิจฉัยกฤษฎีกาคุณสมบัติ 'ทนายถุงขนม' ยื่นป.ป.ช.เอาผิด

สืบเนื่องจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ขอให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาให้ความเห็นในปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของรัฐมนตรี เฉพาะตามมาตรา 160(6) ประกอบกับมาตรา 98 (7) และมาตรา 160 (7) ของรัฐธรรมนูญ

ร่างกฎหมายว่าด้วยเศรษฐกิจแพลตฟอร์มดิจิทัล

ปัจจุบันวิถีชีวิตของผู้คนได้เปลี่ยนแปลงไปจากในอดีตเป็นอันมาก โดยกิจกรรมทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ฯลฯ ของประชาชนได้เข้าสู่การดำเนินการผ่านโลกออนไลน์

การใช้มาตรการทางกฎหมายในการควบคุมคุณภาพยาเพื่อคุ้มครองสุขภาพของประชาชน

การจะพัฒนากฎหมายเพื่อส่งเสริมให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นตามวิสัยทัศน์ “Better Regulation for Better Life” ได้นั้น นอกจากการพัฒนากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับทางด้านเศรษฐกิจแล้วนั้น

บทบาทของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกากับการขับเคลื่อนงานด้านกฎหมายเกี่ยวกับ “Soft Power”

นโยบายสำคัญอย่างหนึ่งที่ได้รับความสนใจและมีการกล่าวถึงอย่างแพร่หลายของรัฐบาลที่นายกรัฐมนตรี (นายเศรษฐา ทวีสิน) เข้ามาบริหารประเทศ

การยกเลิกกฎหมายที่หมดความจำเป็นหรือซ้ำซ้อนกับกฎหมายอื่น

สิทธิและเสรีภาพของประชาชนได้รับการรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย โดยรัฐจะดำเนินการที่กระทบกระเทือนต่อสิทธิเสรีภาพดังกล่าวได้ก็ต่อเมื่อมีกฎหมายให้อำนาจเท่านั้น