ไปทำงานต่างประเทศแบบ ‘ไม่ขายฝัน’ กับกรมการจัดหางาน

คนไทยจำนวนหนึ่ง หอบฝันพร้อมแรงกาย ไปขายแรงงานแลกค่าตอบแทนที่สูงกว่าในต่างแดน       ด้วยความหวังว่า ตัวเองและคนที่รักจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ยิ่งได้ยินได้เห็นจากคนรู้จัก ว่าไปมาแล้ว  ดีอย่างนั้นอย่างนี้ ฝันนั้น…ยิ่งหอมหวานจูงใจ แต่โจทย์สำคัญคือ จะไปอย่างไรให้ไกลจากการ “เสี่ยงไปเอาดีดาบหน้า” เป็นแรงงานคุณภาพที่สร้างทั้งเม็ดเงินหมุนเวียนสู่ระบบเศรษฐกิจ และภาพลักษณ์ที่ดีให้กับประเทศบ้านเกิด

นายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน ให้ข้อมูลผ่านการสัมภาษณ์พิเศษว่า ปัจจุบันวิธีเดินทางไปทำงานต่างประเทศอย่างถูกกฎหมาย มีทั้งสิ้น 5 วิธี คือ 1.บริษัทจัดหางานจัดส่ง 2.กรมการจัดหางานจัดส่ง 3.เดินทางไปทำงานด้วยตนเอง 4.นายจ้างในประเทศไทยพาลูกจ้างไปทำงาน 5.นายจ้างในประเทศไทยส่งลูกจ้างไปฝึกงาน “20 ปีที่แล้วมี ‘ขบวนการสายนายหน้า’ ที่หลอกหรือชักชวนไปทำงานแบบผิดกฎหมาย เป็นการหลอกโดยคนต่อคน แต่ปัจจุบันมิจฉาชีพนิยมใช้วิธีโฆษณาทางโซเชียล โพสต์ข้อความจูงใจด้วยค่าจ้างที่สูงกว่าความเป็นจริง ทั้งยังมีรูปภาพสถานที่ ให้เบอร์ติดต่อส่วนบุคคล บ้างก็ใช้เป็นชื่อเล่น หากเจอแบบนี้สันนิษฐานได้เลยว่าหลอกลวง” นายไพโรจน์กล่าว

อธิบดีกรมการจัดหางานยังให้ข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า หากเป็นการรับสมัครแรงงานไทยไปทำงานต่างประเทศ ต้องเป็นการรับสมัครงานโดยบริษัทที่ขึ้นทะเบียนกับกรมการจัดหางาน มีการระบุชื่อ เลขที่ใบอนุญาต ซึ่งสามารถตรวจสอบได้อย่างชัดเจน 

อย่างไรก็ตาม สถิติการเดินทางของคนไทยไปทำงานต่างประเทศมีแนวโน้มเป็นบวก ตั้งแต่หลังการระบาดของโรคโควิด-19 เรื่อยมา โดยในเดือน ม.ค.-ก.ค.66 มีแรงงานไทยเดินทางไปทำงานต่างประเทศอย่างถูกกฎหมาย ผ่าน 5 วิธีเดินทาง 42,604 คน และมีกลุ่ม Re-entry ซึ่งกลับเข้ามาในประเทศไทยหลังจากที่ได้เดินทางออกนอกประเทศ โดยวีซ่าที่ถืออยู่ยังไม่หมดอายุ 24,353 คน รวมทั้งสิ้น 66,957 คนส่งรายได้กลับประเทศ 148,335 ล้านบาท ซึ่งประเทศที่มีสถิติแรงงานเดินทางไปทำงานมากที่สุด ได้แก่ ไต้หวัน รองลงมาคือ ญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลี และอิสราเอล“ข้อดีของการเดินทางไปทำงานอย่างถูกกฎหมาย คือ ได้นวัตกรรมใหม่ๆ จากประเทศที่ไปทำงานกลับมา และนวัตกรรมเหล่านั้น ก็จะถูกนำมาต่อยอดเตรียมความพร้อมให้กับแรงงานในเจเนอเรชั่นใหม่ที่จะไปทำงานด้วย” นายไพโรจน์ กล่าว

อธิบดีกรมการจัดหางาน ยังฉายภาพให้เห็นข้อดีของการเดินทางไปทำงานต่างประเทศอย่างถูกต้องตามกฎหมายว่า จะทำให้แรงงานได้รับสิทธิประโยชน์ มีสิทธิสมัครสมาชิก ‘กองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทำงานในต่างประเทศ’ และได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายแรงงานของประเทศปลายทาง ไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบ ไม่ต้องทำงานแบบหลบซ่อน ขณะที่การเดินทางไปอย่างผิดกฎหมาย นอกจากไม่ได้รับสิทธิประโยชน์หรือความคุ้มครองจากกฎหมายแรงงานแล้ว ยังถูกนายจ้างเอาเปรียบ และอาจร้ายแรงถึงขั้น ถูกล่อลวงเข้าสู่ขบวนการค้ามนุษย์ “ปัญหาที่เราพยายามแก้ไขอย่างเข้มข้นคือ ‘แรงงานผีน้อย’ ที่ประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งจะมีผลกับ

การพิจารณาให้โควตาของไทย เพราะมีเกณฑ์พิจารณาจากรายงานปัญหาแรงงานเข้าไปทำงานอย่างผิดกฎหมายด้วย แต่โชคดีที่ปีนี้เราได้โควตา 4,400 คน และจัดส่งไปทำงานได้ถึง 4,497 คน (เกินโควตา) แสดงว่าทางการเกาหลีมองแล้วว่า ปัญหาผีน้อยจากบ้านเราลดน้อยลง”

ปัจจุบัน กรมการจัดหางานมุ่งมั่นเพิ่มโอกาส ขยายตลาดแรงงานใหม่ โดยได้มีการทำบันทึกข้อตกลง (MOU) กับหน่วยงานภาครัฐในต่างประเทศ เช่น กระทรวงทรัพยากรมนุษย์และการพัฒนาสังคมแห่งซาอุดิอาระเบีย 2 ฉบับ ได้แก่ฉบับแรงงานทั่วไป และแรงงานทำงานบ้าน ตลอดจนทำบันทึกความเข้าใจด้านการส่งแรงงานภาคเกษตรตามฤดูกาลกับเกาหลีใต้ (Seasonal Worker) รวมถึง ความร่วมมือกับหน่วยงานในต่างประเทศกับ รัฐอิสราเอล สาธารณรัฐเกาหลี และญี่ปุ่นด้วย

สำหรับผู้ที่สนใจอยากเดินทางไปทำงานต่างประเทศ อธิบดีกรมการจัดหางานแนะนำว่า ควรเตรียมความพร้อมด้านสุขภาพ เพื่อรับมือกับสภาพอากาศ หมั่นพัฒนาทักษะฝีมือในตำแหน่งงานที่จะทำ รวมถึงทักษะภาษา เพื่อให้สามารถทำความเข้าใจถึงความต้องการของนายจ้างต่างประเทศได้ ต่อมาคือ ความพร้อมด้านค่าใช้จ่าย เช่น ค่าหนังสือเดินทาง ค่าตรวจโรค ค่าตรวจสอบประวัติอาชญากรรม หรือแม้แต่ค่าใช้จ่ายส่วนตัวในชีวิตประจำวัน ที่สำคัญก่อนไปทำงาน ต้องศึกษาข้อมูลของประเทศที่จะไป โดยเฉพาะข้อกฎหมาย ตลอดจนความรู้เท่าทันโซเชียลมีเดียที่แฝงไปด้วยกลลวงของมิจฉาชีพสามารถศึกษารายละเอียดการเดินทางได้ ที่เว็บไซต์กรมการจัดหางาน www.doe.go.th สายด่วน 1506 กด 2 หรือ 1694 และสามารถลงทะเบียนแจ้งความประสงค์เดินทางไปทำงานต่างประเทศ ได้ที่ศูนย์บริการจัดหางานเพื่อคนไทย (Smart Job Center) สำนักงานจัดหางานจังหวัดทั่วประเทศ หรือผ่านเว็บไซต์ของกองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศที่ toea.doe.go.th

‘นี่คือเส้นทางสู่คุณภาพชีวิตที่ดีในต่างแดนที่กรมการจัดหางานการันตีได้ว่า ‘ไม่ขายฝัน’ อย่างแน่นอน!’

 

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

“รองนายกฯ สุชาติ” เป็นประธาน กก.สิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เห็นชอบ EIA โครงการสำคัญ แก้ปัญหาอุทกภัย–เสริมบริหารจัดการน้ำ

นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 6/2568 เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2568 ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล

ทส. ร่วมติดตามความก้าวหน้าโครงการพัฒนาเกาะสีชัง ตามพระบรมราโชบาย จ.ชลบุรี มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน ควบคู่การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

วันนี้ (17 ธันวาคม 2568) เวลา 09.00 น. นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

รองนายกฯ สุชาติ เป็นประธานประชุมคณะกรรมการมรดกโลก เดินหน้าผลักดันแหล่งวัฒนธรรมไทยสู่เวทีโลก

วันที่ 16 ธันวาคม 2568 เวลา 15.00 น. ณ ห้องประชุม 1001 ชั้น 10 สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อาคารทิปโก้ และผ่านระบบประชุมทางไกล นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรี

ดร.บุณณดา โฆษกกระทรวงแรงงาน พร้อมคณะที่ปรึกษารัฐมนตรี ลงพื้นที่ติดตามงานศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพคนงาน ภาค 1 จ.ปทุมธานี พร้อมผลักดันยกระดับคุณภาพชีวิตผู้ประกันตนทุพพลภาพ

เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2568 ดร.บุณณดา สุปิยพันธุ์ โฆษกกระทรวงแรงงาน (ฝ่ายการเมือง) พร้อมด้วยนายกานต์ กิตติอำพน คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน (ด้านต่างประเทศ) ร่วมลงพื้นที่ตรวจเยี่ยม

รองนายกฯ “สุชาติ” สั่งการ กรมอุทยานฯ ผนึก DSI–กรมป่าไม้ ทลายโกดังไม้เถื่อนหนองคาย รวบ 4 ผู้ต้องหา ยึดไม้หวงห้ามกว่า 275 ลบ.ม.

เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2568 นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้สั่งการให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช บูรณาการร่วมกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) และกรมป่าไม้ เร่งปราบปรามขบวนการลักลอบตัดและค้าไม้ผิดกฎหมายอย่างเข้มข้น หลังพบพฤติการณ์เชื่อมโยงขบวนการค้าไม้ข้ามชาติ

รองนายกฯ สุชาติ ขอบคุณเจ้าหน้าที่ สบอ.16 เชียงใหม่ รวมพลังบริจาคโลหิต หนุนทหารกล้าแนวหน้าชายแดนไทย-กัมพูชา

นายกริชสยาม คงสตรี ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 16 (เชียงใหม่) ได้นำคณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ผู้พิทักษ์ป่า รวมจำนวน 100 นาย เข้าร่วมกิจกรรมบริจาคโลหิต ณ โรงพยาบาลสวนดอก อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อส่งต่อชีวิต ความหวัง และกำลังใจให้แก่ “ทหารกล้าแนวหน้า” ที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเสี่ยงภัย