
เช้าวันที่โรงเรียนอนุบาลแห่งหนึ่ง เด็กน้อยหลายสิบคนพร้อมใจกันท่องกลอนเสียงดังฟังชัด “พอดอันตราย ดูคล้ายของเล่น แต่วัวน้อยเห็น เป็นหลอดบนหัว หูไวตาไว ต้องระวังตัว บอกไปไม่เอา อย่ามาหลอกเรา ไม่เอาทอยพอด” เสียงใสๆ ของพวกเขาไม่ใช่เพียงการเล่นสนุก หากแต่เป็นการเรียนรู้เพื่อป้องกันตัวเองจาก “ปิศาจทอยพอด” หรือบุหรี่ไฟฟ้าที่กำลังแฝงตัวเข้ามาในสังคมไทยอย่างเงียบเชียบ โดยใช้กลยุทธ์ที่เล็งตรงไปยังเด็กเล็กและเยาวชน ผ่านรูปลักษณ์น่ารัก คล้ายตุ๊กตาหรือของเล่น มีกลิ่นหอมของผลไม้ ขนมหวาน หรือเครื่องดื่มอัดลม จนหลายคนเข้าใจผิดว่าไม่ใช่สิ่งอันตราย แต่แท้จริงแล้วเพียงหนึ่งพอดมีสารนิโคตินสูงเท่ากับบุหรี่ถึง 20 ซอง เป็นกับดักเสพติดที่ซ่อนอยู่ภายใต้ภาพลักษณ์ไร้พิษภัย

สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เปิดเผยข้อมูลที่น่าตกใจว่า มีเด็กไทยอายุน้อยที่สุดเพียง 7 ขวบที่ถูกล่อลวงให้ลองสูบบุหรี่ไฟฟ้า สะท้อนให้เห็นว่าการตลาดของผู้ค้าไม่ได้หยุดอยู่ที่วัยรุ่น แต่รุกล้ำมาถึงเด็กเล็กที่ยังไม่เข้าใจโลก และนี่คือเหตุผลสำคัญที่ทำให้ สสส.เดินหน้าสานพลังกับ 20 องค์กรใน 233 ชุมชน ประกาศมาตรการ “เด็กปลอดพอด” พร้อมสร้างเครื่องมือสื่อสารใหม่อย่าง “ชุดนิทาน 7 เล่ม เด็กปลอดพอด” ที่ใช้การเล่าเรื่องผ่านตัวละครและจินตนาการ เพื่อปลูกฝังทักษะปฏิเสธและการคิดเทียบข้อดีข้อเสียในใจเด็กตั้งแต่ปฐมวัย ผลสำรวจในเด็กกว่า 500 คนยืนยันว่า นิทานสามารถทำให้เด็กเล็กเข้าใจว่าบุหรี่ไฟฟ้าเป็นสิ่งอันตรายและไม่ควรเข้าใกล้
ในงานแถลงข่าว “พลังเด็ก พลังเครือข่ายรู้ทันทอยพอด” ซึ่งจัดขึ้นเมื่อเร็วนี้ บรรยากาศเต็มไปด้วยพลังสร้างสรรค์ เด็กอนุบาลจากหลายศูนย์พัฒนาเด็กเล็กขึ้นเวทีเล่นละครจากนิทาน เช่น “ความลับของ บ.มืดดำ” หรือ “ขบวนการปราบทอยพอด” เพื่อสะท้อนภาพปิศาจบุหรี่ไฟฟ้าที่แอบซ่อนอยู่ในรูปลักษณ์ของเล่นน่ารัก ขณะที่ครูผู้สอนเน้นย้ำให้เด็กจำขึ้นใจว่า แม้มันดูเหมือนของเล่น แต่แท้จริงแล้วคือพิษภัยที่ต้องบอกปฏิเสธ การรณรงค์ครั้งนี้ไม่ได้หวังผลแค่การแสดงโชว์ แต่เป็นการปลูกเมล็ดพันธุ์ความรู้ลงในใจเด็ก เพื่อให้พวกเขามีเกราะป้องกันตัวเองในโลกที่เต็มไปด้วยสิ่งล่อใจ
สถิติด้านสาธารณสุขยิ่งทำให้สถานการณ์น่าห่วง จากการสำรวจโดยกรมควบคุมโรค และคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่า อัตราการสูบบุหรี่ไฟฟ้าในกลุ่มนักเรียนอายุ 13-15 ปี เพิ่มจาก 3.3% ในปี 2558 เป็น 17.6% ในปี 2565 หรือเพิ่มขึ้นกว่า 5 เท่าในเวลาไม่ถึง 10 ปี ตัวเลขนี้สะท้อนว่าเด็กไทยจำนวนมากกำลังตกเป็นเหยื่อของกลยุทธ์การตลาดที่มุ่งเจาะตรงไปยังเยาวชนด้วยภาพลักษณ์เท่ ทันสมัย และ “ไม่อันตราย” ทั้งที่ความจริงตรงกันข้าม

ศ.เกียรติคุณ นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ ประธานมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ อธิบายชัดว่า บุหรี่ไฟฟ้าเป็นภัยร้ายแรงยิ่งกว่าบุหรี่มวนแบบเดิม แม้มีกลิ่นหอมที่ทำให้เด็กหลงเชื่อว่าไม่เป็นอันตราย แต่เมื่อเริ่มสูบแล้ว โอกาสเลิกแทบจะเป็นศูนย์ เด็กถึง 7 ใน 10 คนที่ลองสูบตั้งแต่เล็กมักติดไปตลอดชีวิต และอันตรายไม่ได้หยุดที่ผู้สูบ แต่ควันบุหรี่ไฟฟ้ายังกลายเป็นควันมือสอง มือสามที่เป็นพิษต่อคนรอบข้าง โดยเฉพาะเด็กเล็กในครอบครัวที่ไม่อาจป้องกันตนเองได้

เพื่อแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ สสส.และเครือข่ายจึงใช้ยุทธศาสตร์ “การอ่าน” เป็นเครื่องมือสำคัญ เพราะการเล่านิทานช่วยสื่อสารเรื่องซับซ้อนให้เข้าใจง่ายและเข้าถึงจิตใจเด็กได้ดีที่สุด ผลสำรวจพบว่าเด็กเตรียมอนุบาลสามารถเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียของบุหรี่ไฟฟ้าได้ถึง 2.45 คะแนน จาก 3 เด็กอนุบาลทำได้ 2.87 คะแนน และเด็กประถมเข้าใจชัดเจนว่าบุหรี่ไฟฟ้าอันตรายต่อร่างกายด้วยคะแนนเฉลี่ย 2.83 สิ่งเหล่านี้ตอกย้ำว่าเด็กมีความสามารถในการเรียนรู้และตัดสินใจ เพียงแค่ต้องมีสื่อที่เหมาะสม การปลูกฝังตั้งแต่เล็กย่อมช่วยสร้างภูมิคุ้มกันในระยะยาว
นอกจากภาคสาธารณสุขแล้ว หน่วยงานการศึกษาก็เข้ามามีบทบาท น.ส.เอมอร เสือจร จากกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ระบุว่า มีการผลักดันให้ศูนย์เด็กเล็กและโรงเรียนในสังกัดจัดกิจกรรมสร้างภูมิคุ้มกัน ป้องกันเด็กจากบุหรี่ไฟฟ้า โดยเน้นให้ครูเป็นผู้สื่อสารเชิงสร้างสรรค์ ขณะเดียวกัน กรุงเทพมหานครก็ออกมาตรการเข้มข้น ทั้งการตรวจกระเป๋านักเรียนก่อนเข้าโรงเรียน การตั้งกล่อง “Drop Box บุหรี่ไฟฟ้า” ให้นักเรียนที่หลงผิดสามารถนำมาส่งคืนโดยไม่ต้องเปิดเผยตัว และการเฝ้าระวังจุดเสี่ยงภายในโรงเรียน เพื่อป้องกันไม่ให้บุหรี่ไฟฟ้าแพร่ระบาดในหมู่เยาวชนเมืองหลวง

เมื่อมองย้อนกลับไปกว่า 30 ปีก่อน ประเทศไทยเคยประสบความสำเร็จกับแคมเปญ “บุหรี่เหม็น” ที่ใช้เด็กเล็กเป็นสัญลักษณ์ในการปฏิเสธบุหรี่มวน แต่วันนี้สถานการณ์เปลี่ยนไป บุหรี่ไฟฟ้าไม่มีกลิ่นเหม็น หากแต่มีกลิ่นหอมที่ยิ่งดึงดูดใจเด็ก จึงกลายเป็นภัยเงียบที่ยากต่อการรับรู้ ข้อเท็จจริงที่ว่ามีเด็กเพียง 7 ขวบเริ่มใช้บุหรี่ไฟฟ้าแล้ว เป็นสัญญาณเตือนชัดเจนว่าผู้ใหญ่ในสังคมต้องเร่งปกป้องอนาคตของลูกหลาน
เรื่องนี้จึงไม่ใช่เพียงการเล่าเรื่องราวของชุดนิทานหรือกิจกรรมรณรงค์ แต่คือการสะกิดสังคมไทยให้ตระหนักว่า เรากำลังเผชิญกับศัตรูที่แฝงตัวในคราบของเล่นและกลิ่นหอมหวาน หากพ่อแม่ ครู ผู้ปกครองยังไม่ใส่ใจ หรือคิดว่าเป็นเพียงแฟชั่นของวัยรุ่น วันหนึ่งเราอาจต้องเผชิญกับสังคมที่เยาวชนจำนวนมากติดกับดักสารนิโคตินตั้งแต่วัยเยาว์ และนั่นหมายถึงต้นทุนสุขภาพที่มหาศาลในอนาคต

สิ่งที่ผู้ใหญ่ทุกคนทำได้วันนี้คือการสร้างพื้นที่ปลอดภัยทั้งที่บ้าน โรงเรียน และชุมชน การสื่อสารกับลูกหลานอย่างตรงไปตรงมา การใช้สื่อสร้างสรรค์ เช่น นิทาน เพลง หรือกิจกรรม เพื่อช่วยให้เด็กแยกแยะได้ว่าของเล่นที่แท้จริงคืออะไร และอะไรคือกับดักในคราบของเล่น เพราะอนาคตของชาติไม่ควรถูกทำลายด้วยควันพิษที่ซ่อนตัวมาในรูปร่างของตุ๊กตาและกลิ่นหอม.

ข่าวที่เกี่ยวข้อง
สสส. ผนึกกำลัง 10 หน่วยงาน 100 ภาคี เตรียมจัดงานThailand National PM 2.5 Forum #2 เปลี่ยนระบบ เชื่อมข้อมูล ขับเคลื่อนอากาศสะอาด
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) แถลงข่าวเตรียมความพร้อมการประชุมระดับชาติ เรื่อง มลพิษทางอากาศ PM2.5 ครั้งที่ 2 (Thailand National PM2.5 Forum #2)
“เติมพลังใจ” สร้างการเรียนรู้ 1 ปีบัสนร.ไฟไหม้
กิจกรรม “เติมพลังใจ” สร้างการเรียนรู้ความปลอดภัยทางถนนแก่เด็กนักเรียน ครู ผู้ปกครอง และชุมชน เพื่อยกระดับมาตรฐาน “รถรับส่ง-คนขับ” สร้างการเรียนรู้ ป้องกันเหตุซ้ำรอย
“พลังรัก–ศรัทธา"ร่วมวางรากฐานใหม่ สู่ประเทศไทยปลอดภัยจากยาเสพติด
ปัญหายาเสพติดยังคงเป็นบาดแผลเรื้อรังของสังคมไทยมานานนับทศวรรษ และยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นจากความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม และความเสี่ยงรอบด้าน
“12.12 สายชอปปิ้งต้องระวัง” สสส.-ม.อ. เปิดเวทีสะท้อนปัญหา “ผลิตภัณฑ์สุขภาพผิดกฎหมาย” ในไทย เผยผลตรวจสอบผลิตภัณฑ์ไร้คุณภาพผ่านแพลตฟอร์ม “TaWai for Health”
เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 12 ธ.ค. 2568 ที่อาคารศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับคณะเภสัชศาสตร์
83% คนไทยเหงา! สังคมโดดเดี่ยวพุ่งสูง ขับเคลื่อนเปลี่ยนประเทศด้วยพลังการรับฟัง
ในวันที่สังคมไทยเชื่อมต่อกันด้วยเทคโนโลยีเกือบตลอด 24 ชั่วโมง กลับเป็นช่วงเวลาเดียวกันที่ผู้คนจำนวนมากรู้สึก “เหงา” มากที่สุดในชีวิต

