ผอ.ช่อง 5 แจงร่วมมือรัสเซีย ยูเครน จีน อิหร่าน แลกเปลี่ยนข่าวสาร เปิดรับข้อมูลอีกด้าน

24 มี.ค.2565 - พล.อ.รังษี กิติญาณทรัพย์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ททบ.5 กล่าวถึงกรณีการแจ้งยกเลิกแถลงข่าวการประสานความร่วมมือด้านข่าวสารกับจีน รัสเซีย อิหร่านว่า เนื่องจากตนติดภารกิจต้องเดินทางไปสถานทูตยูเครนประจำประเทศไทย เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา และททบ.5 ได้ออกอากาศข่าวนี้ไปแล้วเมื่อช่วงข่าวเที่ยงวันแล้ว นอกจากนั้นยังมีอีกหลายชาติที่จะเข้ามาร่วมกับช่อง5 เช่นกลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ก็ติดต่อและอยากส่งข่าวโดยตรงมาที่ ททบ. 5 ตนได้บอกท่านเอกอัครราชทูตจีน รัสเซีย อิหร่าน ยูเครน ว่ายินดีที่จะนำข่าวสารโดยตรงจากทางการของแต่ละประเทศ และการเผยแพร่ข่าวก็จะอ้างอิงว่าเป็นข่าวทางการของประเทศนั้นๆ ส่งมา

พล.อ.รังษี กล่าวว่า การที่ทำแบบนี้เพราะสงคราม รัสเซีย ยูเครน เป็นมิติใหม่ของข่าวสงครามความขัดแย้ง ที่มี3มิติ คือ 1.มิติทางด้านการทหาร 2.มิติทางด้านข่าวสารที่สองฝ่ายต่างต่อสู้ จึงควรต้องรับฟังจากทุกส่วนและนำมาพิจารณาว่าใครโกหก หรือ ใครพูดจริง เพราะเวลาเกิดความขัดแย้ง หรือมีใครทะเลาะกัน จะมีคนพูดไม่ตรงกัน เพราะฉะนั้นควรนำข้อมูลจากแหล่งต่างๆ มาให้คนไทยได้ดูและได้ติดตาม 3.มิติสงครามเศรษฐกิจ การคว่ำบาตร การแก้เกมของรัสเซียเป็นอย่างไร เนื่องจากสงครามครั้งนี้สะเทือนทั้งโลก ซี่งกระทบต่อไทยในเรื่องราคาพลังงานและเรื่องการส่งออก

"ปกติช่อง 5 รับข่าวจากรอยเตอร์ปีละ 2 ล้าน แต่การประสานงานกับทางฝั่งรัสเซีย จีน อิหร่าน ยูเครนครั้งนี้ เขาก็ไม่ได้คิดตังค์ผมเลย สิ่งที่คนไทยได้คือฟังข่าวสองด้าน ช่อง5มีหน้าที่ในการนำข้อมูลข่าวสารมาให้ประชาชน ผมเชื่อว่าข้อมูลเหล่านี้เป็นข้อมูลที่สำคัญที่คนไทยควรรับไปพิจารณา ผมไม่ได้บอกให้เชื่อช่อง5 สิ่งที่ผมทำคืออยากให้ประชาชนคนไทยคิดเมื่อได้รับข้อมูลข่าวสารจากทุกมุมและไปตัดสินใจ รวมถึงวางแผนอย่างไรต่อไปในการอยู่กับความวุ่นวายนี้ ช่อง5 ไม่ได้ไปชี้ว่าใครผิดใครถูก เพราะเราไม่รู้จริง แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้นแล้วเราเป็นประเทศที่อยู่ข้างนอกเราก็ได้ทำแค่ศึกษาติดตาม และให้คนไทยได้คิด ผมไม่นิยมทำข่าวแบบ propaganda เพราะมันไม่มีประโยชน์ เราเป็นสื่อ ดังนั้นจรรยาบรรณคือนำข้อเท็จจริงที่นำเสนอ"

พล.อ.รังษี กล่าวด้วยว่า ตนเองติดตามข่าวสารมาตั้งแต่เด็ก ส่วนใหญ่ก็ได้รับข่าวมาจากฝั่งตะวันตก ไม่ค่อยได้ข่าวจากอีกฟากหนึ่งเพราะไม่มีความสัมพันธ์กับเขา และยืนยันว่าตนไม่ได้เป็นคนเข้าไปหาท่านฑูตฯเหล่านี้ แต่ท่านทูตฯเชิญตนไปพูดคุย เมื่อคุยกันเห็นว่ามีประโยชน์กับประเทศไทยและคนไทยตนก็เลยตัดสินใจว่าจะทำแบบนี้ อาจจะเป็นมิติใหม่ และยกระดับมาตรฐานข่าวของประเทศเราด้วย ซึ่งยินดีที่จะให้สำนักข่าวอื่นนำข้อมูล หรือ ภาพข่าวไป เพราะได้มาฟรี ก็อยากให้ช่วยเผยแพร่ให้กว้างขวางมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ตนพร้อมเมื่อใดก็จะแถลงชี้แจงในรายละเอียดอีกครั้ง

เมื่อถามว่า มีการมองภาพของช่อง5เชื่อมโยงกับกองทัพในการออกหน้าพบทูตฯ เป็นเรื่องอ่อนไหว พล.อ.รังษี กล่าวว่า แม้ ททบ. 5 เป็นของกองทัพบก แต่ก็ไม่เคยใช้เงินกองทัพบก เพราะหารายได้เอง ถามว่าที่ผ่านมาททบ.5เคยโจมตีใครหรือไม่ เรายืนยันว่าเราเสนอข่าวตามเนื้อผ้า ตนคิดว่าวันนี้บทบาทของสื่อต้องเพิ่มขึ้น กระชับขึ้น เที่ยงตรงขึ้น เพราะโลกเปลี่ยนแปลงไปเร็ว

“กองทัพบกยุคนี้ไม่ได้ยุ่งกับการเมือง โดยเฉพาะ ผบ.ทบ.จะเห็นได้ว่าไม่เคยพูดเรื่องการเมืองเลย ทหารยุคนี้เป็นทหารที่ค่อนข้างห่างการเมือง ผมตรึกตรองแล้วว่าสิ่งที่ทำแล้วประชาชนได้ประโยชน์ด้านข่าวสาร ผบ.ทบ.ก็ไม่เคยสั่งการอะไร เวลาผมทำอะไรก็จะรายงานท่านในฐานะประธานบอร์ด ซึ่งการไปพบทูตแต่ละประเทศก็จะเรียนท่านว่าไปแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ท่านก็ไม่ได้ถามว่าไปทำไม มีรายละเอียดอย่างไร ผมมาเป็น กอญ.ช่อง5 มา1ปีครึ่ง ผบ.ทบ.ไม่เคยสั่งการอะไรเป็นพิเศษ ให้ผมทำไปตามหน้าที่ คำนึงถึงเรื่องกฎหมาย ผมและผบ.ทบ.คบกันมาตั้งแต่ปี 2522 เป็นนักเรียนเตรียมทหารด้วยกัน อยู่กันมา43ปี รู้ว่าท่านท่านไม่ชอบให้ทำอะไรที่ขัดกับความจริง เพราะณรงค์พันธ์เป็นคนตรงไปตรงมา เพราะฉะนั้นผมจะทำทุกอย่างที่ไม่ทำให้เขาไม่สบายใจ เขาก็รู้ว่าผมเป็นคนอย่างไร ผมก็รู้ว่าเขาเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้นใครจะลากกองทัพบกมาเกี่ยวข้อง ย่อมเป็นไปไม่ได้เลย”

เมื่อถามว่า มีการวิพากษ์วิจารณ์จากฝ่ายต่างๆ ว่าเป็นการล้ำเส้นไปยุ่งเกี่ยวกับงานด้านการต่างประเทศหรือไม่ พล.อ.รังษี กล่าวว่า ขอถามว่าการไปแลกเปลี่ยนข่าวสารเป็นการไปล้ำเส้นตรงไหน เพราะการที่จะไปรับข้อมูลจากฝ่ายตะวันตกอย่างเดียวก็ถูกมองว่าเป็นการเลือกข้างหรือไม่ ถ้าทำแบบตนสหรัฐฯ หรือ จีน จะด่าเราได้หรือไม่ ตรงนี้คือความตรงไปตรงมา ตนไม่คิดจะเป็นศัตรูกับใคร เพราะประเทศเราวุ่นวานย เรื่องเศรษฐกิจ และโรคระบาดอยู่แล้ว นโยบายของตนชัดเจนว่าจะไม่เอาช่อง5 ไปทำให้เกิดปัญหาความแตกแยกเด็ดขาด ถ้ามีใครมาเรียกตนไปชี้แจงเรื่องการไปเอาข่าวจากจีน-รัสเซียมาเหมาะสมหรือไม่ ตนก็จะถามกลับว่าเขาไม่มองพวกคุณหรือว่าคุณเลือกข้างเพราะฟังแต่สื่อตะวันตก สิ่งที่ทำคือนำข่าวทุกฝ่ายลงที่ช่อง5โดยไม่มีการตัดต่อ

“สื่ออย่างพวกเราจะจมปลักอยู่อย่างนี้เหรอ เราก็ต้องเปิดกว้างให้สังคมรับรู้ เพราะเราไม่ได้อยู่ประเทศเดียวในโลก เราอยู่กับหลายประเทศ สิ่งที่ผมทำอยู่ยังไม่เห็นว่าทำอะไรที่มันล้ำเส้น เพราะผมไม่ได้เชียร์สหรัฐ หรือ จีนแต่เขามีข้อมูลและส่งมา เขาให้ผมฟรี คิดว่าถ้า จีน กับรัสเซีย เขาจะมา propogandaเหรอ คิดว่าเขาคงไม่ได้โง่ขนาดนั้น ถ้ามีคนมาแย้งเขาก็หมดความน่าเชื่อถือ ผมพูดจากใจ ไม่มี agendaอะไรทั้งสิ้น และไม่ได้คิดทำร้ายประเทศ แต่ทำในฐานะกรรมการผู้อำนวยการ ททบ.5 และเป็นคนไทยคนหนึ่ง ผมมองว่าถ้าประเทศนี้อยู่ไม่ได้ ผมก็อยู่ไม่ได้ ช่อง5 ก็อยู่ไม่ได้ ผมจะทำร้ายประเทศนี้ทำไม ส่วนข่าวที่ส่งมาทางสถานทูตฯต่างจะกรองข้อมูลให้เรา ผมบอกกับเขาว่าสถานทูตฯเป็นข่าวทางการ ถ้ามีอะไรคนรับผิดชอบคือทางสถานฑูตฯ เขาคงไม่มั่วซั่ว การให้มาอย่างนี้คนไทยได้กำไร “ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ททบ.5 ระบุ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 23 มี.ค.2565 ได้มีการแจ้งกำหนดแถลงข่าวของ พล.อ.รังษี เกี่ยวกับการประสานข่าวสารกับสถานฑูต จีน รัสเซีย ที่ ททบ.5 เวลา 14.00 น. วันที่24 มี.ค.2565 แต่ก็ได้แจ้งยกเลิกในช่วงค่ำวันเดียวกัน

 

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ผบ.ทบ.ลงพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา กำชับให้รอบคอบ ไม่ประมาท อย่ายุ่งเกี่ยวผลประโยชน์ในพื้นที่

พลเอกเจริญชัย หินเธาว์ ผู้บัญชาการทหารบก/ผู้บัญชาการศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก เดินทางไปติดตามสถานการณ์ชายแดนไทยและเมียนมา ในพื้นที่หน่วยเฉพาะกิจราชมนู กองกำลังนเรศวร โดยคณะได้รับฟังบรรยายสรุปการปฏิบัติภารกิจของหน่วย

'ทนายมือหนึ่ง' เผยคนฝากให้กำลังใจนายกฯเยอะ หลังถูก 'บิ๊กโจ๊ก' เอาคืน

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายพิชิต ชื่นบาน ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีมีชื่อเป็นรัฐมนตรี ว่า วันนี้ต้องให้กำลังใจนายกรัฐมนต

จะเอาให้ได้! 'เศรษฐา' เรียก 4 แบงก์ยักษเข้าทำเนียบฯ คุยลดดอกเบี้ย หลังธปท.ไม่เล่นด้วย

ที่ทำเนียบรัฐบาล ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ได้เรียก 4 ธนาคารเข้าพบ

'ทบ.' เปิดแผนรับมือ สถานการณ์สู้รบชายแดนไทย-เมียนมา

รายงานข่าวจากศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก เปิดเผยแนวทางการปฏิบัติในการรองรับสถานการณ์ความไม่สงบด้านเมียนมา กรณีการปะทะระหว่างทหารเมียนมากับกองกำลังชนกลุ่มน้อย