เอกสารว่อน! ‘โจ๊ก’ ค้าน ’สุชาติ’ ป.ป.ช.ไต่สวนตัวเอง อ้างโกรธเคือง ดึง ‘บิ๊กป้อม’ เป็นพยาน 

22 เม.ย.2567- ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีการเผยแพร่เอกสาร ลงวันที่ 17 เม.ย.67  ที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบ.ตร. ทำหนังสือขอคัดค้านการปฏิบัติหน้าที่ของ นายสุซาติ ตระกูลเกษมสุข กรรมการ ป.ป.ช.และขอให้ตรวจสอบพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม

โดยเนื้อหาระบุว่า ข้าพเจ้า พลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ขอคัดค้านการปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการ ป.ป.ช. นายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข และขอให้ตรวจสอบพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ว่านายสุชาติฯ มีคุณสมบัติ เป็นกรรมการ ป.ป.ช. หรือไม่ โดยมีข้อเท็จจริงดังต่อไปนี้

สืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2562 มีการประกาศสรรหาผู้สมควรได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการป.ป.ช. แทนนายปรีชา เลิศกมลมาศ และนายสุรศักดิ์ คีรีวิเชียร โดยนายสุชาติฯ ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งอธิบดีพิพากษาศาลแพ่งมีนบุรี มาประมาณ หกเดือน และได้สมัครตามมาตรา 9 วรรค สอง (1) ว่าเป็น “ตุลาการ ตั้งแต่ตำแหน่งผู้ช่วยผู้พิพากษา และดำรงตำแหน่งต่างๆ จนได้รับเงินเดือนชั้น ในตำแหน่งผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ ( 1 ตุลาคม 2554 ) ซึ่งไม่ต่ำกว่าอธิบดีผู้พิพากษาเป็นเวลา 8 ปี” ได้ลงสมัครเข้ารับการสรรหา เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2562 โดยผู้ที่สมัครเข้ารับการสรรหาเป็นกรรมการ ป.ป.ช. ในครั้งนี้ ยังมีนายปรเมษฐ์ โตวิวัฒน์ ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ภาค 1ลงสมัครด้วย

ประมาณเดือนธันวาคม 2562 นางรัตนา บุรพรัตน์ ซึ่งเป็นเพื่อนรุ่นพี่ที่ข้าพเจ้าเคารพนับถือ และเป็นเพื่อนร่วมรุ่น หลักสูตรวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร รุ่นที่ 58 (วปอ.58) กับนายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข โดยนางรัตนาฯ ได้นัดหมายและพานายสุชาติฯ มาพบข้าพเจ้าที่ 48 ไวเลส คอนโดมิเนียม ถนนวิทยุ โดยนายสุซาติฯ ได้ขอร้องให้ข้าพเจ้าช่วยเหลือพานายสุชาติฯ เข้าพบพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีสนับสนุนให้ได้รับการคัดเลือกเป็นกรรมการ ป.ป.ช. เนื่องจากนายสุชาติฯ เห็นว่าตนเองมีคุณสมบัติด้อยกว่านายปรเมษฐ์ฯ มาก ถึงแม้จะมีตำแหน่งกรรมการ ป.ป.ช. ว่างอยู่สองตำแหน่ง แต่คณะกรรมการสรรหาย่อมไม่คัดเลือก ผู้พิพากษามาเป็นกรรมการ ป.ป.ช. พร้อมกันสองคนอย่างแน่นอน นายสุชาติฯ จึงต้องการเข้าพบพลเอกประวิตรฯ เพื่อขอให้ช่วยสนับสนุนตนเองเป็นกรรมการ ป.ป.ช. ในขณะนั้นข้าพเจ้าไม่ทราบว่าพลเอก ประวิตรวงษ์สุวรรณ จะช่วยเหลือได้หรือไม่ เพราะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสรรหากรรมการ ป.ป.ช. แต่ด้วยความเกรงใจ นางรัตนาฯ ข้าพเจ้า จึงช่วยนัดหมายให้นายสุชาติ ฯ เข้าพบพลเอก ประวิตรฯ เมื่อได้รับอนุญาตจากพลเอกประวิตรฯ แล้ว ข้าพเจ้าจึงได้พานายสุชาติฯ นั่งรถไปกับข้าพเจ้าเพื่อเข้าพบพลเอก ประวิตรฯ ที่มูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด ซึ่งตั้งอยู่ในกรมทหารราบที่ 1 รักษาพระองค์ เมื่อไปถึง ข้าพเจ้าได้ให้นายสุชาติฯ ยืนรออยู่นอกห้อง ส่วนข้าพเจ้าได้เข้าไปร้ายงานสาเหตุที่นายสุชาติฯ ต้องการขอความช่วยเหลือจากพลเอก ประวิตรฯ ซึ่งท่านก็บอกกับข้าพเจ้าว่า ท่านไม่ทราบว่าจะช่วยได้หรือเปล่า แต่ข้าพเจ้าก็ขอร้องให้นายสุชาติฯ ได้เข้าพบ และรับเรื่องไว้พิจารณา พลเอก ประวิตรฯ จึงให้นายสุชาติฯ เข้าพบ โดยได้เข้ามายืนในห้องและรายงานตัว ชื่อ ตำแหน่งพลเอก ประวิตรฯ ถามว่า “อยากเป็นกรรมการ ป.ป.ช.หรือ” นายสุชาติฯ ตอบว่า “ครับ ข้ออนุญาตมารับใช้ ท่าน” พลเอก ประวิตรฯ พูดตอบว่า “งั้นไปสมัครมา” (ซึ่งตามที่ทราบ นายสุชาติฯ ได้ไปสมัครมาแล้ว) จากนั้นนายสุชาติฯ ก็กราบลา พลเอก ประวิตรฯ กลับ จนกระทั่งต่อมาปรากฏว่า ในวันที่ 30 มกราคม 2563 นายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข ได้รับการคัดเลือกให้ดำรงตำแหน่งกรรมการ ป.ป.ช. จากคณะกรรมการคัดสรร

หลังจากที่นายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข ได้รับความเห็นชอบจากวุฒิสภาให้เป็นกรรมการ ป.ป.ช. แล้ว นายสุชาติฯ ได้ติดต่อมาหาข้าพเจ้าเพื่อขอให้พาไปเข้าพบพลเอก ประวิตรฯ เพื่อแสดงความขอบคุณที่ช่วยสนับสนุนให้เป็นกรรมการ ป.ป.ช. ข้าพเจ้าจึงได้พานายสุชาติฯ ไปเข้าพบพลเอก ประวิตรฯ ที่บ้านพักในหมู่บ้านกฤษดานคร 25 แขวงทรายกองดินใต้ เขตคลองสามวา กรุงเทพฯ โดยนายสุชาติฯ ได้นำพวงมาลัยเข้าไปกราบขอบพระคุณพลเอก ประวิตร ฯ ที่ได้ช่วยเหลือสนับสนุนให้เป็นกรรมการ ป.ป.ช. โดยข้าพเจ้าอยู่ร่วมในขณะเข้าพบด้วยและได้ยินนายสุชาติฯ พูดกับพลเอก ประวิตร ฯ ว่าสำหรับเรื่องใน ป.ป.ช. นายสุชาติ ฯ พร้อมจะรับใช้มีอะไรให้พลเอก ประวิตรฯ สั่งผ่านมาที่ข้าพเจ้าได้เลย

ต่อมาในระหว่างที่รอรับการโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งกรรมการ ป.ป.ช. ข้าพเจ้าได้นัดหมายให้นายสุชาติ ฯ พบกับนายสมบัติ ธรธรรม ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งที่ปรึกษากรรมการ ป.ป.ช. (พลตำรวจเอกสถาพร หลาวทอง) โดยข้าพเจ้าได้รู้จักกับนายสมบัติฯ เมื่อครั้งที่ข้าพเจ้าไปให้ถ้อยคำที่สำนักงาน ป.ป.ช. ในคดีไบโอเมตริกซ์ ข้าพเจ้าได้พบนายสมบัติฯ ซึ่งข้าพเจ้าได้ยินชื่อเสียงมานาน จึงได้เข้าไปแนะนำตัวทำความรู้จักและพูดคุยกัน จากนั้นได้มีการขอหมายเลขโทรศัพท์เพื่อติดต่อกันและกัน ซึ่งข้าพเจ้าทราบมาว่านายสมบัติฯ เป็นมือทำงานด้านไต่สวน คดีสำคัญ ของ ป.ป.ช. มีผลงานใน ป.ป.ช. หากรู้จักกันไว้ก่อน จะสามารถช่วยเหลือหรือแนะนำนายสุชาติ ฯ เกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งกรรมการ ป.ป.ช. ได้ เพื่อจะได้เป็นประโยชน์กับประเทศชาติต่อไป โดยนัดพบกันที่ห้องอาหารจีน โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล ถนนเพลินจิต กรุงเทพฯ ซึ่งนายสมบัติฯ ก็พูดคุยกับนายสุชาติฯ ตามปกติ

หลังจากที่นายสุชาติฯ เข้าดำรงตำแหน่งกรรมการ ป.ป.ช. ประมาณปี พ.ศ.2564 นายสุชาติได้ขอนัดพบข้าพเจ้าที่คลับเฮ้าส์ สโมสรราชพฤกษ์ โดนนายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข แจ้งให้ข้าพเจ้าทราบว่า ถูกร้องเรียนเกี่ยวกับพฤติกรรมและการปฏิบัติหน้าที่หลายเรื่อง เช่น กรณีเรียกรับเงินจากอัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสูงสุดคนหนึ่ง เพื่อช่วยเหลือในคดีที่อัยการท่านนั้นถูกกล่าวหาเกี่ยวกับการรับทรัพย์สิน หรือกรณีนำเงินไปชื้อรถยนต์ยี่ห้อฮอนด้าให้กับผู้หญิงคนหนึ่ง ที่อ้างว่าเป็นคนสนิทของนายสุชาติฯ โดยนายสุชาติฯ กล่าวหาว่านายสมบัติฯ เป็นผู้จัดทำหนังสือร้องเรียนดังกล่าว นายสุชาติฯ ขอให้ข้าพเจ้าจัดการกับนายสมบัติฯ เพื่อให้หยุดร้องเรียนนายสุชาติฯ ต่อไป เมื่อทราบเรื่องข้าพเจ้าได้โทรสอบถามจากนายสมบัติฯ ถึงเรื่องดังกล่าว นายสมบัติฯยืนยันว่าไม่ทราบเรื่องและไม่ได้เป็นผู้จัดทำ และไม่มีสาเหตุที่จะทำ เพียงแต่นายสมบัติฯ แจ้งว่า ในการทำงานก็มีที่ความเห็นทางคดีไม่ตรงกันบ้าง ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดา นายสุชาติฯ น่าจะเข้าใจผิดไปเอง ข้าพเจ้าจึงแจ้งแก่นายสุชาติ ฯ ทราบ แต่นายสุชาติฯ ไม่เชื่อ และต่อว่าข้าพเจ้าว่าไปเชื่อคนนอก ไม่เชื่อคนใน (หมายถึงนายสุชาติเป็นคนที่สนิทสนมกับข้าพเจ้า ส่วนนายสมบัติฯเป็นคนรู้จักทีหลังและเป็นคนวงนอก) พร้อมกับสั่งข้าพเจ้าว่า “พี่ต้องไปจัดการเรื่องนี้ให้ผม อย่าให้มีเรื่องร้องเรียนผมอีก” “พี่ต้องไปเอาคนที่ร้องเรียนผมออกมาจัดการด้วย” ซึ่งทำความไม่พอใจให้กับข้าพเจ้า เพราะพูดเหมือนสั่งข้าพเจ้าโดยไม่มีเหตุผล เมื่อไม่มีหลักฐานแล้วจะไปโทษคนโน้นคนนี้ได้อย่างไร ข้าพเจ้าจึงไม่ได้ติดต่อกับนายสุชาติฯ อีก แต่นายสุชาติฯ ยังโทรมาหาข้าพเจ้า โดยกล่าวอ้างว่านายสมบัติฯ เป็นคนของข้าพเจ้า ยังร้องเรียนนายสุชาติฯ ไม่หยุด ซึ่งข้าพเจ้าก็ได้แต่ฟังไว้เท่านั้น

ต่อมาเดือนธันวาคม 2564 ใกล้ปีใหม่ นายสุชาติฯ ได้นัดข้าพเจ้าไปทานกาแฟที่คลับเฮ้าส์สโมสรราชพฤกษ์ นายสุชาติ ฯ ได้กล่าวขอบคุณข้าพเจ้าที่ให้การสนับสนุนนายสุชาติ ฯ ให้เข้ามาดำรงตำแหน่งกรรมการ ป.ป.ช. และแจ้งว่าจะดูแลเรื่องใน ป.ป.ช. ที่เกี่ยวกับ พลเอก ประวิตรฯ และข้าพเจ้าตลอดไป และแจ้งว่านายสมบัติฯ ยังร้องเรียนนายสุชาติฯ เรื่อยมา ขอให้ข้าพเจ้าจัดการนายสมบัติฯ ให้หยุดเรื่องร้องเรียนทั้งหมด ข้าพเจ้าได้ตอบนายสุชาติฯ ไปว่า เมื่อไม่มีหลักฐานจะไปจัดการเขาได้อย่างไร นายสุชาติฯ ไม่ฟังเหตุผล ต่อว่าข้าพเจ้าว่าเข้าข้างนายสมบัติฯ ทั้งๆ ที่นายสมบัติฯ เป็นคนนอกและกล่าวหาข้าพเจ้าว่าเห็นคนนอกดีกว่าคนใน และกล่าวอ้างว่า ตัวนายสุชาติฯ เท่านั้นที่จะดูแลข้าพเจ้าได้ ข้าพเจ้ากับนายสุชาติฯ มีปากเสียงกัน สุดท้ายนายสุชาติฯ ได้กล่าวอาฆาตข้าพเจ้าขึ้นว่า “พี่โจ๊ก อย่ามีเรื่องมาพึ่งผมบ้างก็แล้วกัน” จากนั้นต่างคนต่างก็แยกย้ายกัน หลังจากนั้น ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ติดต่อกับนายสุชาติฯ อีก มีแต่นายสุชาติฯ ยังโทรมาต่อว่าข้าพเจ้าเรื่องไม่จัดการนายสมบัติฯ ให้

ต่อมาประมาณเดือนมีนาคม 2566 นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนเกี่ยวกับคุณสมบัติการเป็นกรรมการ ป.ป.ช. ของนายสุชาติฯ นอกจากนี้นายชูวิทย์ฯ ยังได้มายื่นหนังสือร้องเรียนต่อเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. กล่าวหาว่านายสุชาติฯ ใช้อำนาจแทรกแซง สั่งการช่วยเหลือผู้กระทำความผิดในคดีที่อยู่ระหว่างการไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. (ตามที่เป็นข่าว) นายสุชาติฯ ได้โทรศัพท์มาต่อว่าข้าพเจ้า โดยนายสุชาติฯ กล่าวหาว่าข้าพเจ้าเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง และสั่งการให้นายชูวิทย์ฯ ทำหนังสือร้องเรียนดังกล่าว ซึ่งไม่มีมูลความจริงเลย นายสุชาติ ฯ โกรธเคืองข้าพเจ้าในเรื่องก่อน ๆ แล้วมากล่าวหาข้าพเจ้าในเรื่องนี้อีก นายสุชาติฯ ได้พูดด้วยน้ำเสียงที่แสดงความอาฆาตมาดร้ายในลักษณะโกรธเคืองต่อข้าพเจ้า โดยพูดว่าหลังจากนี้หากมีเรื่องร้องเรียนข้าพเจ้ามาที่ ป.ป.ช. นายสุชาติฯ จะไม่ให้การช่วยเหลือหรือดูแลใด ๆ อีก และยังพูดอีกว่า “อย่าให้มีเรื่องกล่าวหาพี่มาถึงผมนะ ผมฟันไม่เลี้ยง”

และต่อมาก็ปรากฏตามข่าวว่า เมื่อมีเรื่องร้องเรียนกล่าวหาข้าพเจ้าและลูกน้องของข้าพเจ้าเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. นายสุชาติฯ ก็เป็นกรรมการ ป.ป.ช. เสียงข้างน้อยเพียงเสียงเดียวที่มีความเห็นต่างกับกรรมการท่านอื่นๆ ซึ่งนายสุชาติฯ ก็ได้รับคำชมเชยจากนายสนธิ ลิ้มทองกุล ซึ่งให้ข่าวเป็นปรปักษ์กับข้าพเจ้ามาโดยตลอดและตามที่เป็นข่าว นายสุชาติฯ ได้รับการชมเชยจากนายสนธิฯ เพียงคนเดียวในคณะกรรมการ ป.ป.ช. (ซึ่งข้าพเจ้าสืบทราบในทางลับว่า กรณีนายสนธิฯ ให้ข่าวโจมตีข้าพเจ้าน่าจะมาจากเรื่องกล่าวหาร้องเรียนที่อยู่ในระหว่างการพิจารณาคดีของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่ข้าพเจ้าได้เข้ามาให้การเป็นพยาน ซึ่งการให้ข่าวดังกล่าวเพื่อต้องการทำลายความเชื่อถือของคณะกรรมการ ป.ป.ช. และคณะทำงานที่ทำการไต่สวนในคดีดังกล่าว จะเห็นได้จากการทำข่าวของนายสนธิฯ ที่โจมตีนางสาวสุภา ปียะจิตติ ว่ากลั่นแกล้งผู้ถูกกล่าวหาในคดีดังกล่าว) ซึ่งข้าพเจ้าขอยืนยันว่าข้าพเจ้าไม่เคยรู้จักเป็นการส่วนตัว ไม่เคยคุยกับนางสาวสุภาฯ แม้แต่ครั้งเดียว ด้วยข้อเท็จจริงดังกล่าว เป็นที่แจ้งชัดว่าข้าพเจ้ากับนายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข มีความขัดแย้งกัน อันเป็นเหตุให้นายสุชาติฯ โกรธเคืองข้าพเจ้าอย่างชัดแจ้งข้าพเจ้าจึงขอคัดค้านการปฏิบัติหน้าที่ของนายสุชาติฯ เกี่ยวกับการพิจารณาหรือวินิจฉัยเรื่องกล่าวหาหรือคดีในกรณีที่ข้าพเจ้าและคณะตำรวจที่ถูกกล่าวหาที่เกี่ยวพันกับข้าพเจ้าทุกเรื่อง เนื่องจากข้าพเจ้าเห็นว่านายสุชาติฯ มีสาเหตุโกรธเคืองกับข้าพเจ้าตามเหตุผลดังที่ ได้กล่าวมาข้างต้น

นอกจากนี้จากพฤติกรรมของนายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข ตั้งแต่ก่อนเข้ามาดำรงตำแหน่ง และขณะดำรงตำแหน่ง กรรมการ ป.ป.ช. ดังที่กล่าวมาข้างต้น เป็นบุคคลที่มีประวัติ และพฤติกรรมที่เหมาะสมในการปฏิบัติหน้าที่ กรรมการ ป.ป.ช. หรือไม่

ข้าพเจ้าจึงขอให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ส่งเรื่องของนายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข ไปยังประธานรัฐสภา เพื่อให้รัฐสภาดำเนินการตรวจสอบพฤติกรรมของนายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีข้อมูลทั้งหมด เพื่อเป็นไปตามกฎหมายและอำนาจหน้าที่ต่อไป

ทั้งนี้ เพื่อสนับสนุนข้อเท็จจริงข้างต้น ข้าพเจ้าขออ้างพยานบุคคล ดังต่อไปนี้ 1. พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ 2. นางรัตนา บุรพรัตน์

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ป.ป.ช.ให้สอบเพิ่ม นายกฯแต่งตั้ง ผบ.ตร.ไม่เป็นธรรม เชื่อคดีนี้ไม่ช้า อีกไม่นานจบ

นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กล่าวถึงความคืบหน้าการตรวจสอบคำร้องกล่าวหานายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี แต่งตั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ไม่เป็นธรรม

คณะสอบวินัย"บิ๊กโจ๊ก"ส่อเค้าวุ่นไม่จบ “สราวุฒิ”จ่อเกษียณโยนเผือกร้อนสีกากี

สู้กันทุกกระบวนท่าเต็มสรรพกำลังอภิมหาศึก “สีกากี” สำนักงานตำรวจแห่งชาติ “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.ที่ถูกคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนพัวพันคดีเว็บพนันออนไลน์ ระบุว่า “การสอบสวนไม่ชอบด้วยกฎหมาย”

นายกฯ เผย ก.ตร. มีมติส่งคำร้อง 'บิ๊กโจ๊ก' ให้ฝ่ายวินัยพิจารณาอีกรอบ ปมสั่งช่วยราชการ

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ครั้งที่ 3/2567 ว่า วันนี้วาระสำคัญของการประชุมนอกจากแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิ ยังมีเรื่องที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ร้องขอความเป็นธรรมทั้งหมด ทั้งที่มีต่อตนในฐานะนายกรัฐมนตรี และประธาน ก.ตร.

คกก.สอบ 2 บิ๊กตำรวจ ยอมรับเชิญ 'บิ๊กต่อ' ให้ถ้อยคำแล้ว นัดแถลงทุกประเด็นสัปดาห์หน้า

พล.ต.อ.วินัย ทองสอง หนึ่งในคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย กรณีปรากฏเป็นข่าวต่อสาธารณะเกี่ยวกับความขัดแย้งในเรื่องคดีของบุคคลากรภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

'บิ๊กต่าย' แจงตั้ง 'สราวุฒิ' ใกล้เกษียณสอบวินัย 'โจ๊ก' หากไม่ทันเตรียมใช้แผนสอง

พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.รรท.ผบ.ตร.) กล่าวถึงกรณีที่จะมีการประชุมข้าราชการตำรวจช่วงบ่ายวันนี้ ว่า จะมีการนำประเด็นเรื่องร้องเรียนของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล

ชุดสอบ 'โจ๊ก' กับพวกผิดวินัยร้ายแรง-ออกจากราชการไว้ก่อน ยืนยันไม่มีใครชี้นำได้

พล.ต.อ.สราวุฒิ การพานิช รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) ในฐานะประธานคณะกรรมการสอบสวนกรณีที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. พร้อมพวกรวม 5 คน ทำผิดวินัยร้ายแรงจนถูกออกจากราชการไว้ก่อน