'อ.ไชยันต์' มั่นใจไม่มีปัญหาลักษณะต้องห้าม สมัครตุลาการศาลรธน.คนใหม่

10 เมษายน 2568 - ศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงการยื่นใบสมัครเข้ารับการสรรหาเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งได้มีการปิดรับสมัครไปเมื่อ 9 เม.ย.ที่ผ่านมาว่า หลายคนพูดถึงคดีฉีกบัตรเลือกตั้งของผมว่า ศาลฎีกาตัดสินให้ผมติดคุก 2 เดือน แต่ให้รอลงอาญา ปรับสองพันบาท ตัดสิทธิ์ทางการเมืองห้าปี ซึ่งโทษติดคุก 2 เดือนไม่ใช่ลหุโทษ เพราะลหุโทษต้องไม่เกิน 1 เดือน ดังนั้น จึงเข้าข่ายลักษณะต้องห้าม

ตอนแรกผมก็คิดเช่นนั้น แต่เมื่อมีผู้รู้ทางกฎหมายอธิบายความมาตรา 202 (3) ซึ่งมาตรา 202 (3) ในรัฐธรรมนูญ 2560 จะว่าด้วยคุณสมบัติของผู้สมัครตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ก็พบว่า กำหนดไว้ว่า ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญต้องไม่มีลักษณะต้องห้าม ดังต่อไปนี้ (3) เคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เว้นแต่ในความผิดอันได้กระทำ โดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ จากมาตรา 202 (3)

"ผมเห็นว่า คดีผมนั้น คำพิพากษาถึงที่สุดให้รอลงอาญา จึงไม่เข้าข่ายลักษณะต้องห้ามของผู้สมัครตุลาการฯ แต่ปัญหาไม่น่าจะหมดเพียงแค่นี้ เพราะเชื่อว่า ผมจะถูกถามว่า ทำไมถึงฉีกบัตร จากทั้งคณะกรรมการสรรหา และคณะกรรมาธิการวุฒิสภา ส่วนคำตอบของผมจะเป็นอย่างไรนั้น คนที่ติดตามคำอธิบายของผมหรืองานวิจัยของผมเรื่อง ประเพณีการปกครองในระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญที่ได้รับการสนับสนุนจากสถาบันพระปกเกล้าจะทราบดี ซึ่งผมจะไม่กล่าวในทีนี้ เพราะอาจจะดูเป็นการใช้สื่อหรือสังคมกดดันการพิจารณาของคณะกรรมการและคณะกรรมาธิการ"

ศ.ดร.ไชยันต์กล่าวต่อไปว่า และนอกจากประเด็นเรื่องฉีกบัตรเลือกตั้งแล้ว ผมเชื่อว่า การให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์มติชนในปี พ.ศ. 2554 จะเป็นประเด็นที่ผมจะถูกถาม ซึ่งในปี 2554 ที่ขณะนั้น คณะนิติราษฎร์เสนอให้มีการแก้ไขมาตรา 112 เมื่อมาถามผม ผมเสนอให้ยกเลิกมาตรา 112 แต่มีเงื่อนไขว่าจะต้องมีการทำประชาพิจารณ์อย่างกว้างขวาง เพื่อให้ประชาชนได้พิจารณาแยกแยะความแตกต่างระหว่าง การหมิ่นประมาท กับ การวิพากษ์วิจารณ์ และเมื่อเข้าใจแล้วว่าต่างกันอย่างไร ก็ให้ประชาชนตัดสินว่า จะยกเลิก หรือจะแก้ หรือจะคงไว้อย่างเดิม

"ผมไม่ต้องการให้นักการเมืองในสภาเป็นคนตัดสินว่าจะแก้หรือไม่แก้ เพราะผมเห็นว่า การแก้หรือไม่แก้กฎหมายสำคัญมาตรานี้ในสภา ไม่ได้ช่วยให้ประชาชนเข้าใจถึงเหตุผลที่สมควรแก้หรือคงไว้หรือยกเลิก ปัญหาจะไม่มีทางจบสิ้น การให้ประชาชนได้ถกเถียงแลกเปลี่ยนและใช้เหตุผล แม้ว่าจะเสียเวลา แต่ผลที่เกิดขึ้น จะเป็นที่ยอมรับมากกว่าจะให้นักการเมืองในสภาตัดสิน บางคนเห็นว่าเป็นการเสี่ยงมากๆ เพราะประชาชนอาจจะตีกันในการถกเถียง แต่ผมเห็นว่า วิธีนี้เป็นวิธีที่จะยกระดับคุณภาพวิจารณญาณของประชาชน และที่สำคัญคือ มันเป็นประชาธิปไตยมากกว่าประชาธิปไตยในสภา"ดร.ไชยันต์กล่าว

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

พฤฒสภา คือ สภาปรีดี จริงหรือ ? (28)

ก่อนจะเกิดรัฐธรรมนูฉบับที่ 4 หรือรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2490 เรามีรัฐธรรมนูญฉบับที่ 2 คือฉบับ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475

มติเอกฉันท์! ศาลรธน. ไม่รับคำร้อง 'เรืองไกร' กล่าวหารัฐสภาแก้ รธน.ล้มล้างการปกครอง

‘ศาลรธน.’ มีมติเอกฉันท์ไม่รับคำร้อง ‘เรืองไกร’ ปมกล่าวหาประธานรัฐสภา–สมาชิกรัฐสภาใช้สิทธิล้มล้างการปกครอง ชี้การประชุมร่วมแก้รัฐธรรมนูญยังไม่ปรากฏพฤติการณ์เข้าข่ายมาตรา 49 แม้อัยการสูงสุดไม่ดำเนินการแต่ผู้ร้องมีสิทธิเข้าศาลโดยตรงก็ตาม

พฤฒสภา คือ สภาปรีดี จริงหรือ ? (27)

ก่อนจะเกิดรัฐธรรมนูฉบับที่ 4 หรือรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2490 เรามีรัฐธรรมนูญฉบับที่ 2 คือฉบับ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475

คนเสื้อแดงกินแห้ว! ศาล รธน. ไม่รับวินิจฉัย ปม MOA 'ภูมิใจไทย-ปชน.'

ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาคำร้องในคดีที่นายนิยม นพรัตน์ (ผู้ร้อง) ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 กล่าวอ้างว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ผู้ถูกร้องที่ 1) และนายณัฐพงษ์

ลุ้นกันยาวๆ 24 ธ.ค.ศาล รธน.นัดไต่สวนพยานคดี 'ภูมิธรรม-ทวี' จุ้นคดีฮั้ว สว.

ศาล รธน.นัดไต่สวนพยานคดีสถานะ 'ภูมิธรรม-ทวี' จุ้นคดีฮั้วเลือก สว. 24ธ.ค.นี้ พร้อมไม่อนุญาต 'สราวุธ' ถอนตัวจากการพิจารณาคดี

พฤฒสภา คือ สภาปรีดี จริงหรือ ? (26)

ก่อนจะเกิดรัฐธรรมนูฉบับที่ 4 หรือรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2490 เรามีรัฐธรรมนูญฉบับที่ 2 คือฉบับ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475