นักวิชาการ แนะทางออกจากความล้มเหลวทางการเมืองไทย สร้างกระบวนการสู่การปฏิรูปโปร่งใส

14 ก.ค.2568-นายกมล กมลตระกูล นักวิชาการอิสระ โพสต์เฟซบุ๊กเรื่อง “ทางออกจากความล้มเหลวทางการเมืองไทย” ระบุว่า ประเทศถึงทางตัน กลายเป็นประเทศที่ล้มเหลว เหลวแหลกในทุกด้าน ซึ่งมีการคอรัปชั่นทุกระดับ แม้แต่ในสถาบันศาสนา  และไร้ศักดิ์ศรีในสายตาของนานาชาติ และสื่อนานาชาติ

ปัญหาความเหลื่อมล้ำและความไม่มั่นคงทางการเมืองในประเทศไทยเป็นความท้าทายที่ซับซ้อน ต้องแก้ไขทั้งระบบการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมไปพร้อมกัน ทางออกที่อาจช่วยให้สังคมไทยหลุดพ้นจากวงจรอุบาทว์นี้ได้ ก็ด้วย:แนวนโยบายพื้นฐานของรัฐที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับก้าวหน้าที่ควรจะร่างขึ้นใหม่มีดังต่อไปนี้

1. ปฏิรูปการเมือง: สร้างระบบที่โปร่งใสและมีส่วนร่วม

1.1  ร่างรัฐธรรมนูญใหม่มาใช้แทนรัฐธรรมนูญปี 60 ที่จากการรัฐประหารของ ค.ส.ช.

1.2 ลดอำนาจรัฐบาลผูกขาด: ปรับปรุงระบบเลือกตั้งให้เป็นการเลือกตั้งทางตรงทั้งระบบตั้งแต่ระดับชาติ ถึงระดับท้องถิ่น คือการเลือกนายกรัฐมนตรี รวมทั้งคณะรัฐมนตรี และผู้ว่าราชการจังหวัด ทางตรง

1.3 ลดจำนวน ส.ส.ให้เหลือจังหวัดละ 4 คน ยกเลิกวุฒิสภา เพราะฝ่ายบริหารมาจากการเลือกตั้งทางตรง สภาเดียวจึงทำหน้าที่ตรวจสอบฝ่ายบริหารได้เพียงพอแล้ว

1.4 กระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น: ให้จังหวัด/ชุมชนมีอำนาจตัดสินใจเรื่องงบประมาณ  เก็บภาษีท้องถิ่นเอง ไม่ต้องส่งเข้าส่วนกลาง  มีอำนาจกำหนดนโยบายสาธารณะ และทรัพยากรในพื้นที่

1.5 ปฏิรูปกองทัพให้เล็ก มีประสิทธิภาพ เป็นมืออาชีพ ใช้นโยบายพึ่งตัวเองในด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ ตัดงบซื้ออาวุธต่างชาติมาใช้ในการวิจัยและพัฒนา และการผลิต   รวมทั้งส่งเสริมเอกชนผลิตอาวุธป้อนให้กองทัพ

1.6 ปฏิรูปสถาบันตุลาการ:  เน้นความเป็นกลางทางการเมือง โปร่งใส และตรวจสอบได้  ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจแค่ตีความกฎหมาย แต่ไม่มีอำนาจบังคับ โดยใช้กลไกของรัฐสภา และองค์กรอิสระเป็นผู้บังคับใช้

1.7  บังคับใช้กฎหมายต่อต้านการทุจริตอย่างจริงจัง:  เพิ่มโทษประหารชีวิต   เสริมอำนาจ ป.ป.ช. และองค์กรอิสระอย่างให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ มีความรับผิด (Accountability) ต่อหน้าที่

 2. ปฏิรูปเศรษฐกิจ: ลดความเหลื่อมล้ำด้วยนโยบายปฏิรูปเชิงโครงสร้าง

2.1 ปฏิรูประบบภาษีก้าวหน้า: เพิ่มภาษีมรดก ภาษีทรัพย์สิน และภาษีรายได้กลุ่มผู้มีรายได้สูง  และภาคธุรกิจ ใช้รายได้นี้พัฒนาสวัสดิการสังคม

 2.2  ปฏิรูป และเพิ่มรัฐวิสาหกิจ ให้รับใช้ประเทศและประชาชน ไม่ใช่เพื่อค้ากำไร สร้างระบบธรรมาภิบาลให้มีการตรวจสอบจากสังคมและหน่วยงานตรวจสอบ ( ระบบของจีน)

2.3 ขยายรัฐสวัสดิการถ้วนหน้า: เช่น สาธารณสุขฟรีทั่วถึง   เพิ่มศูนย์บริการสาธารณสุข(สถานอนามัย)  ในทุกจังหวัดและอำเภอ อย่างมีคุณภาพและสวัสดิภาพ  เพิ่มบำนาญผู้สูงอายุ ที่อยู่อาศัยราคาถูก โดยใช้ภาษีท้องถิ่น บวกกับภาษีจากส่วนกลาง แบบระบบอเมริกัน

2.4 ยกระดับแรงงานและเกษตรกร ส่งเสริมการทำการเกษตรแบบทันสมัย  เพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำตามความเป็นจริง ปรับปรุงสวัสดิการแรงงาน สนับสนุนระบบสหกรณ์การเกษตรทั้งด้านการผลิตและการขาย และสร้างอำนาจการต่อรองในด้านราคา

2.5 ส่งเสริมการแปรรูปสินค้าเกษตรเพื่อเพิ่มมูลค่าเพิ่ม รวมทั้งระบบบรรจุภัณฑ์ที่ทันสมัย ลดการผูกขาดทางเศรษฐกิจ: ปรับกฎหมายแข่งขันทางการค้า สนับสนุน SME และเศรษฐกิจชุมชน

2.6 สร้างระบบอินเตอร์เนตของรัฐฟรี (ใช้รายได้จากรัฐวิสาหกิจ)

3. ปฏิรูปการศึกษา: สร้างโอกาสที่เท่าเทียม

3.1 ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา: ใช้งบประมาณเท่าเทียมระหว่างโรงเรียนรัฐ-เอกชนในเมืองและชนบท

3.2 เรียนฟรีจนถึงระดับอุดมศึกษา: รวมถึงพัฒนาทักษะอาชีพตามความต้องการตลาด

3.3 ส่งเสริมการศึกษาเชิงวิพากษ์ ปลูกฝังความเป็นพลเมือง ที่มีความรับผิดชอบต่อส่วนรวม  ผลประโยชน์ของสาธารณะและสิ่งแวดล้อม

3.4. สร้างวัฒนธรรมประชาธิปไตยเพื่อสังคม  ส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมือง: ใช้กลไกประชาพิจารณ์ (Public Hearing) และการลงประชามติในประเด็นสำคัญทั้งของระดับพื้นที่ ท้องถิ่น และระดับชาติ

3.5 พัฒนาสื่อสาธารณะอิสระ: สนับสนุนสื่อที่ตรวจสอบอำนาจและให้ข้อมูลรอบด้าน

 3.6 ส่งเสริมการเจรจาระหว่างกลุ่มการเมืองที่ขัดแย้ง: สร้างพื้นที่กลางสำหรับการแก้ไขความขัดแย้งโดยสันติวิธี

5. แก้ไขปัญหาความขัดแย้งเชิงโครงสร้าง

5.1 ปฏิรูปที่ดิน:  แก้ปัญหาการถือครองที่ดินกระจุกตัวด้วยระบบภาษีที่ดินแบก้าวหน้าเป็นขี้นบันไดตามจำนวนที่ถือครอง  ส่งเสริมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกร

 5.2 รับรองความหลากหลายทางวัฒนธรรม: เคารพสิทธิกลุ่มชาติพันธุ์และความแตกต่างทางความคิด

5.3 ยุติการใช้อำนาจรัฐปราบปรามการแสดงออก  รับรองเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบ ห้ามใช้อาวุธในการควบคุมฝูงชน จัดพื้นที่อนุญาตให้ชุมนุมเสรี เช่นสนามหลวง สนามกีฬา กรีฑา

6. ปฏิรูปสถาบันศาสนา

6.1 ทรัพย์สินของวัดและเงินบริจาคต้องมีระบบบัญชีมาตรฐาน  มีคณะกรรมการร่วมภาคประชาชนดูแลเงินดูและและตรวจสอบการใช้เงินของวัดให้ใช้เพื่อสาธารณะประโยชน์ของชุมชน เท่านั้น ห้ามเจ้าอาวาสมีอำนาจดูแลการเงิน

6.2 ส่งเสริมวัดให้มีบทบาทในด้านให้บริการชุมชน

6.3 ยกเลิกระบบพัดยศ  สมณศักดิ์แบบราชการ  พระทุกองค์มีสถานะเท่ากันแบบสมัยพุทธกาล การบริหารวัดใช้ระบบองค์คณะ มีกรรมการชุมชน หรือองค์กรท้องถิ่นเข้าร่วมบริหาร

7 อุปสรรคและ ความท้าทายสำคัญ:

7.1 ความขัดแย้งเชิงอำนาจ: กลุ่มผลประโยชน์  และกลุ่มอำนาจเดิมต่อต้านการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงทุกวิถีทาง

7.2  การแบ่งขั้วทางสังคม:  ต้องใช้เวลาในการสร้างความไว้วางใจระหว่างกลุ่มต่างๆในภาคเอกชน  ภาคเอ็นจีโอ  และประชาชนทั่วไป

7.3 บริบทระหว่างประเทศ:  เศรษฐกิจโลกและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศส่งผลต่อเสถียรภาพไทย หากประเทศไทยดำเนินนโยบายที่ขัดประโยชน์กับมหาอำนาจ

บทสรุป:

ทางออกที่ยั่งยืนต้องอาศัยการตื่นตัว  ความสามัคคี ความเป็นเอกภาพของประชาชนที่เป็นพลังในการกดดันให้มีการการปฏิรูปทั้งระบบ เพื่อให้ประเทศก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคงและมีศักดิ์ศรี  หากขาดพลังประชาชน แนวนโยบายของรัฐและการแก้ไขรัฐธรรมนูญก็ไม่มีวันจะเกิดขึ้นได้  เพราะกลุ่มผลประโยชน์ และกลุ่มอำนาจเดิมจะไม่ยอมให้เกิดขึ้นเพราะพวกเขาจะสูญเสียอำนาจและผลประโยชน์ โดย:

เริ่มจากสร้างเวทีสาธารณะระหว่างทุกภาคส่วน ทั้งพรรคการเมือง ภาคธุรกิจ เอกชน ประชาสังคม  นักวิชาการ ได้มาพบปะเสวนากัน ประเด็นที่เห็นพ้องร่วมกันได้ก่อน เช่น  ประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ปฏิรูปการศึกษาให้เรียนฟรีถึงอุดมศึกษา  การักษาพยาบาลอย่างทั่วถึงและมีคุณภาพ   อัตราภาษีก้าวหน้า การเพิ่มค่าจ้างให้สอดคล้องกับค่าครองชีพ  การจัดสวัสดิการให้เกษตรกรเหมือนลูกจ้างทั่วไป การเพิ่ม และลดราคาบริการด้านการคมนาคมขนส่ง /สวัสดิการสังคม เป็นต้น

สร้างกลไกการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะเกษตรกรและคนชายขอบใช้หลักธรรมาภิบาล (Good Governance) เป็นแกนกลางไม่มีทางออกแบบ “สูตรสำเร็จ” แต่การเริ่มต้นด้วยการยอมรับปัญหาอย่างตรงไปตรงมา ว่า ประเทศไทยได้มาถึงทางตัน กลายเป็นประเทศที่ล้มเหลว เหลวแหลกในทุกด้าน ซึ่งมีการคอรัปชั่นทุกระดับ แม้แต่ในสถาบันศาสนา  และไร้ศักดิ์ศรีในสายตาของนานาชาติ และสื่อนานาชาติ

การสร้างกระบวนการที่จะนำไปสู่การปฏิรูปที่โปร่งใส ครอบคลุมทุกกลุ่มในสังคม จะเป็นก้าวแรกที่สำคัญสู่การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง ซึ่งขึ้นอยู่กับประชาชนที่มีส่วนได้ส่วนเสียมากที่สุดจากระบบเดิมที่ล้มเหลว หากไม่ลุกขึ้นมาแก้ด้วยพลังของตนเอง ก็ต้องยอมรับสภาพและสถานะเดิมที่ชอกช้ำต่อไป

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

มีคำตอบ! รัฐบาลอนุทินมี ‘ศุภจี‘ เป็นจุดเด่น ทำไมปล่อยให้มี ’ธรรมนัส’ เป็นจุดอ่อน

คุณศุภจีคือตัวแทนของ "ภาพลักษณ์ความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ" ที่ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน ดึงดูดชนชั้นกลางและคนเมือง และเป็นเกราะป้องกันทางการเมือง เมื่อฝ่า

ขนลุก! กูรูใหญ่ สาปแช่งพรรคเพื่อไทย หลังข่าวซูเอี๋ยพรรคส้ม

ความคิดที่เพื่อไทยและประชาชนจะจับมือกันตั้งรัฐบาลหลังเลือกตั้งแล้วเลื่อนการอภิปรายไม่ไว้วางใจ คือท่าดีทีล้มละลายทางการเมือง

‘โบว์ ณัฏฐา’ ชี้ภาพเลือกตั้งเริ่มชัด เหลือสองพรรคที่ขยับขึ้นมาเด่น

“โบว์ ณัฏฐา” วิเคราะห์แนวโน้มจากโพลชุดล่าสุด ระบุศูนย์กลางการแข่งขันเริ่มขยับเหลือสองพรรคที่โดดขึ้นมา ขณะที่เพื่อไทยถูกทิ้งระยะ แม้คนยังไม่ตัดสินใจมีจำนวนมาก แต่สุดท้ายก็ต้องเลือกระหว่างตัวเลือกที่เด่นที่สุดในตอนนี้

ดร.ณัฏฐ์ ผ่าเกมการเมืองสามก๊ก ชิงยุบสภาแก้รัฐธรรมนูญเป็นหมันทันที

สืบเนื่องจากนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีได้ออกมาโต้ตอบทางการเมืองในเชิงหากฝ่ายค้านอย่างพรรคเพื่อไทยไม่รอ แต่ญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ