
12 ส.ค.2568- ดร.ณพรรษธ์สรฌ์ เสมสันต์ นักวิชาการอิสระ ออกมาตั้งข้อสังเกตกรณีธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ถือครองที่ดินในพื้นที่เขากระโดง จำนวน 62 ไร่ 3 งาน อย่างน่าสนใจ ว่า “โฉนดเขากระโดงบนเส้นด้าย เมื่อรัฐเป็นคู่ความของตัวเอง กรณีกรุงไทยกับศรัทธาที่ตลาดทุนจับตา”
.
กรณีธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ถือครองที่ดินในพื้นที่เขากระโดง จำนวน 62 ไร่ 3 งาน ไม่ได้เป็นเพียงข้อพิพาททางกรรมสิทธิ์ เหมือนประชาชนที่ถือเอกสารสิทธิ์คนอื่น
.
แต่เป็นเสมือนภาพสะท้อนช่องโหว่ของระบบกำกับดูแลที่เชื่อมโยงระหว่าง “รัฐ” ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ และ “ตลาดทุน” ในฐานะเวทีที่บริษัทมหาชนต้องรักษามาตรฐานความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือ
.
ธนาคารกรุงไทย มีสถานะพิเศษเพราะรัฐถือหุ้นเกินกึ่งหนึ่งผ่านกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF)
.
ซึ่งนั่นหมายความว่า ผู้ถือครองรายนี้ไม่ใช่เอกชนทั่วไป หากแต่เป็น “รัฐในคราบบริษัทมหาชน” ที่ต้องเล่นอยู่บนสองกระดานในเวลาเดียวกัน
.
กระดานหนึ่งคือกฎหมาย
อีกกระดานหนึ่งคือความเชื่อมั่นของผู้ถือหุ้นและตลาดการเงิน
.
การเข้าข่ายรัฐวิสาหกิจตามนิยามกฎหมายและอยู่ในกรอบความรับผิดชอบของหน่วยงานรัฐบางประการนี้หมายความว่า
.
ทุกการดำเนินการของธนาคารไม่เพียงต้องสอดคล้องกับพระราชบัญญัติที่ดิน พ.ศ.2497 มาตรา 86 และ 87 เกี่ยวกับการถือครองของนิติบุคคล
.
แต่ยังต้องอยู่ภายใต้กรอบหลักธรรมาภิบาลของภาครัฐ และการกำกับตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 โดยเฉพาะมาตรา 89/7 และ 89/8 ที่บังคับให้กรรมการและผู้บริหารปฏิบัติหน้าที่เพื่อประโยชน์สูงสุดของบริษัทและผู้ถือหุ้น
.
จากข้อเท็จจริง หากการถือครองเกิดจากการได้มาด้วยเหตุผลเช่น การบังคับคดีหรือการรับโอนทรัพย์จำนองที่ผิดนัด
.
กฎหมายกำหนดให้ถือครองได้เพียงชั่วคราวและต้องจำหน่ายออก เว้นแต่จะมีหนังสืออนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
.
ซึ่งหากกรณีนี้ไม่ปรากฏหลักฐานอนุญาต ก็อาจก่อให้เกิดข้อพิพาทเรื่องสถานะสิทธิทันที
ผลกระทบเชิงกลยุทธ์ของกรณีนี้จึงไม่หยุดอยู่แค่ในห้องพิจารณาคดีที่ว่า “โฉนดนั้นจะถูกเพิกถอนหรือไม่”
.
แต่ต้องถามต่อว่า เมื่อรัฐในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ของธนาคารกรุงไทยเป็นผู้ครอบครองเอง จะมีการจัดการอย่างไรให้สอดคล้องกับกฎหมาย และตอบคำถามเชิงความรับผิดชอบต่อผู้ถือหุ้นรายย่อยอย่างไร
.
เพราะในโลกของบริษัทมหาชน ทุกการกระทำที่กระทบสิทธิในทรัพย์สิน ไม่ได้สะเทือนแค่ในห้องประชุมกระทรวงการคลัง
.
แต่สะเทือนถึงราคาหุ้น ความเชื่อมั่น และเครดิตของรัฐในตลาดทุน
.
นอกจากนี้ยังขยายไปถึงภาพลักษณ์ของรัฐในฐานะ “เจ้าของ” และ “ผู้กำกับ” ระบบการเงิน
กรณีที่รัฐวิสาหกิจซึ่งเป็นบริษัทมหาชนดำเนินการในลักษณะที่อาจขัดต่อกฎหมาย จะกระทบโดยตรงต่อความเชื่อมั่นของผู้ถือหุ้น นักลงทุนสถาบัน และคู่ค้าทั้งในและต่างประเทศ
.
โดยเฉพาะในตลาดทุนที่ให้ความสำคัญกับความเสี่ยงเชิงกำกับ (regulatory risk) และความเสี่ยงด้านชื่อเสียง (reputational risk)
.
เมื่อเทียบกับมาตรฐานของ OECD ซึ่งกำหนดแนวปฏิบัติให้รัฐวิสาหกิจต้องดำเนินงานด้วยความโปร่งใส มีการแยกบทบาท “ผู้ถือหุ้น” ออกจาก “ผู้กำกับดูแล” อย่างชัดเจน และต้องมีการบริหารความเสี่ยงที่สอดคล้องกับหลักการธรรมาภิบาลสากล
.
กรณีนี้อาจถูกมองว่าเป็นตัวอย่างของ “conflict of interest” ในเชิงโครงสร้าง รัฐในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่และผู้กำกับดูแลกลับมีบทบาทที่อาจซ้อนทับกันจนบั่นทอนความเชื่อมั่น
ประเทศไทยที่กำลังดำเนินการกำหนดรูปรอยประเทศให้เป็นไปตามมาตรฐาน OECD และหลักการกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจ (SOE Guidelines) จะตอบประชาคมโลกอย่างไรในประเด็นความน่าเชื่อถือ ต่อการจัดการกรณีธนาคารกรุงไทยในเขากระโดง
.
นี่คือ “บททดสอบ” ของประเทศไทยต่อสายตาสากล ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนต่างชาติหรือองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศ ล้วนจับตาว่ารัฐบาลจะรักษาหลักนิติธรรมและธรรมาภิบาลได้จริง หรือจะปล่อยให้การเมืองในประเทศเป็นตัวชี้ทิศ
.
ในเชิงกฎหมาย โครงสร้างการถือครองเช่นนี้ตั้งคำถามชัดเจนว่า รัฐจะใช้กลไกใดตรวจสอบตัวเองให้ปราศจากข้อครหาว่าเลือกปฏิบัติ
.
การบังคับใช้กฎหมายต้องตั้งอยู่บนหลักเดียวกันทั้งกับเอกชนและรัฐวิสาหกิจ
โดยเฉพาะในกรณีที่ข้อพิพาทมีความละเอียดอ่อนและเกี่ยวพันกับพื้นที่ที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูง
.
หากเพิกถอนสิทธิโดยไม่ยึดหลักพยานหลักฐานตามมาตรฐานของศาล อาจตีความได้ว่าเป็นการใช้อำนาจรัฐเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบเสียเอง
.
และหากมองในกรอบของยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจภูมิภาค (Regional Development Strategy) และการเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (GMS) การมีข้อพิพาทและปัญหากรรมสิทธิ์ในพื้นที่ซึ่งเกี่ยวพันกับโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่น สนามกีฬา สนามแข่ง หรือศูนย์กลางการคมนาคม ย่อมกระทบต่อการดึงดูดการลงทุนโดยตรง (FDI) และความสามารถในการเจรจาระหว่างประเทศ
.
เพราะนักลงทุนต่างชาติให้ความสำคัญอย่างสูงกับ “ความมั่นคงของสิทธิในทรัพย์สิน” (security of property rights) ซึ่งเป็นตัวชี้วัดสำคัญของความน่าเชื่อถือทางเศรษฐกิจ
.
ความท้าทายที่รัฐบาลต้องตอบไม่ใช่เพียงการหาทางออกทางกฎหมาย
.
แต่ต้องสร้างกลไกสื่อสารและการบริหารจัดการความเสี่ยงที่โปร่งใส
.
เพื่อให้ทั้งตลาดทุนและสังคมมั่นใจว่าการจัดการกรณีเขากระโดง รวมถึงกรณีที่เกี่ยวพันกับธนาคารกรุงไทย จะไม่กลายเป็นตัวอย่างเชิงลบของการใช้ “อำนาจรัฐ” แบบย้อนศรต่อหลักนิติธรรมและมาตรฐานสากล
.
หากรัฐบาลล้มเหลวในจุดนี้ ผลกระทบจะไม่หยุดอยู่ที่แผ่นดิน 62 ไร่ 3 งาน แต่จะลุกลามไปถึงทุนทางสังคมและทุนทางเศรษฐกิจที่ต้องใช้เวลานับสิบปีกว่าจะกู้คืนได้
.
เพราะหากเดินเกมพลาด ไม่เพียงแต่เสี่ยงต่อการถูกวิจารณ์ในประเทศ
.
แต่ยังบั่นทอนเครดิตในตลาดการเงินโลก เพราะนักลงทุนจะตั้งคำถามทันทีว่า
.
หากรัฐไม่สามารถเคารพสิทธิในทรัพย์สินของบริษัทที่ตัวเองถือหุ้นได้
.
แล้วสิทธิของเอกชนรายอื่นจะปลอดภัยหรือไม่
.
สิ่งนี้เชื่อมโยงโดยตรงกับการประเมินความเสี่ยงในระดับประเทศ (Country Risk) และความสามารถในการดึงดูดเงินลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) ซึ่งไม่ใช่เพียงตัวเลขในรายงานเศรษฐกิจ
.
แต่คือพลังขับเคลื่อนการพัฒนาในระดับภูมิภาค โดยเฉพาะภายใต้กรอบยุทธศาสตร์ GMS และแนวคิด Regional Development Strategy ที่เน้นเสถียรภาพและความโปร่งใสเป็นเงื่อนไขดึงดูดการลงทุน
.
ดังนั้น การบริหารกรณีนี้จึงไม่ควรหยุดอยู่แค่การถกเถียงในศาลหรือสภา
.
แต่ต้องมองไปถึงการสร้าง “โมเดลข้อพิพาทที่โปร่งใส” ซึ่งสามารถนำไปเผยแพร่เป็นกรณีศึกษาต่อ OECD และใช้เป็นเครื่องมือฟื้นฟูภาพลักษณ์ของประเทศในตลาดทุนโลก
.
และเพราะนี่ไม่ใช่เพียงข้อพิพาทบนผืนดิน
.
แต่คือบทพิสูจน์ว่ารัฐบาลจะรักษาหลักนิติธรรมกับตัวเองได้หรือไม่
.
การแก้ปัญหาจึงต้องเดินคู่กันทั้งกฎหมาย การกำกับ และการสื่อสารอย่างมีกลยุทธ์
ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสอบสิทธิอย่างโปร่งใสโดยกรมที่ดิน การตั้งคณะกรรมการอิสระเพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งทางผลประโยชน์ การรายงานต่อผู้ถือหุ้นและตลาดหลักทรัพย์อย่างชัดเจน หรือการสร้างแพลตฟอร์มข้อมูลเปิดเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงข้อเท็จจริง
.
ทุกขั้นตอนเหล่านี้จะเป็นสัญญาณว่า ประเทศไทยเลือกที่จะยืนข้างหลักนิติธรรม ไม่ใช่ยืนบนความสะดวกของตนเอง
.
เพราะในท้ายที่สุด เรื่องนี้ไม่ได้เดิมพันแค่ที่ดิน 62 ไร่ของธนาคารกรุงไทยในเขากระโดง
แต่เดิมพันที่คำตอบว่า “เรายังสามารถเชื่อมั่นในกฎหมายเดียวกันได้หรือไม่”
.
ไม่ว่าผู้ถือครองจะเป็นประชาชนธรรมดา หรือรัฐเองในคราบบริษัทมหาชน.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
‘อัษฎางค์’ ชี้ดีลทักษิณขายหุ้นชินคอร์ป คือ ดีลที่ทักษิณมอบความชอบธรรมในการทำรัฐประหารให้ทหาร
อัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก เอ็ดดี้ อัษฎางค์ ว่า ดีลทักษิณขายหุ้นชินคอร์ป คือ ดีลที่ทักษิณมอบความชอบธ
อดีตผู้พิพากษาอาวุโสข้องใจคดีนันทนาเทียบกับคดีฮั้ว สว.
นายวัส ติงสมิตร นักวิชาการอิสระ อดีตผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา
'อัษฎางค์' ลากไส้ส.ส.ส้ม กี่ครั้งแล้วที่ทำสิ่งที่ผิดจริยธรรมทางการเมือง
เอ็ดดี้ อัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ โพสต์ข้อความว่า กี่ครั้งแล้วที่พรรคประชาชนทำสิ่งที่ผิดจริยธรรมทางการเมืองเช่นนี้
'วรภัค' เปิดบ้าน! ท้าสฤณีโชว์หลักฐานต่อหน้า
นายวรภัค ธันยาวงษ์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง
อดีตผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกาชมผู้ว่าการรถไฟฉลาดที่ลาออก!
นายวัส ติงสมิตร นักวิชาการอิสระ อดีตผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา


