
17ต.ค.2568- ดร.นพดล กรรณิกา ผู้ก่อตั้ง ซูเปอร์โพล และศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ วอชิงตัน ดีซี สหรัฐอเมริกา ด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cybersecurity & Risk Management) เปิดเผยบทวิเคราะห์แนวคิดของนาย ไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เกี่ยวกับการปราบปรามสแกมเมอร์ เชิงรุกสะท้อน “ความเชื่อมโยงทางนโยบาย” ระหว่างแนวคิดของรัฐมนตรีและมาตรฐานความปลอดภัยทางไซเบอร์ระดับนานาชาติ
การเชื่อมโยงเชิงยุทธศาสตร์ จากนโยบาย “แฮ็กกลับได้” สู่กรอบ Active Cyber Defence 2025
ท่าทีของ นายไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวง ดีอี ที่ประกาศเดินหน้าแนวทาง “Active Cyber Defence 2025” ถือเป็นการส่งสัญญาณเชิงยุทธศาสตร์ครั้งสำคัญของประเทศไทยในการยกระดับการป้องกันภัยไซเบอร์จาก การตั้งรับ (Passive Defence) ไปสู่ การตอบโต้เชิงรุก (Active Defence) โดยใช้กฎหมายและความร่วมมือระหว่างประเทศเป็นกรอบกำกับ ซึ่งแนวทางนี้สอดคล้องอย่างยิ่งกับกรอบแนวคิดเชิงยุทธศาสตร์ระดับชาติ
1. การศึกษากฎหมาย “Active Cyber Defence 2025” จุดเปลี่ยนของความมั่นคงไซเบอร์ไทย
การที่รัฐมนตรีไชยชนกเปิดเผยว่า ได้เตรียมให้มีการศึกษา “กฎหมายใหม่ว่าด้วยการตอบโต้ภัยไซเบอร์” ที่มีต้นแบบจากประเทศญี่ปุ่นและเวียดนามนั้น ถือเป็นการเคลื่อนไหวที่อยู่ในทิศทางเดียวกับหลายประเทศพัฒนาแล้วที่ใช้หลัก “การป้องกันเชิงรุก” (Active Cyber Defence) โดยเฉพาะกรณีของญี่ปุ่นที่ได้ประกาศใช้กรอบกฎหมายนี้ในปี 2025 เพื่อเปิดช่องให้หน่วยงานรัฐสามารถ “ตอบโต้หรือแฮ็กกลับได้” (lawful counter-hack) ภายใต้การอนุมัติของคณะกรรมการเฉพาะกิจและไม่ขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ
กรอบดังกล่าวสอดคล้องกับแนวคิด NIST Cybersecurity Framework (NIST CSF 2.0) ที่มุ่งให้การป้องกันภัยไซเบอร์ต้องมี “กลไกการตอบสนองและฟื้นฟู” (Respond & Recover) ควบคู่กับการป้องกัน (Protect) และตรวจจับ (Detect) ซึ่งทำให้ไทยสามารถยกระดับจากการรับมือแบบตั้งรับ ไปสู่การบริหารความมั่นคงไซเบอร์แบบเชิงรุกที่มีกฎหมายรองรับ
2. ความร่วมมือระหว่างประเทศ จากญี่ปุ่นและเวียดนาม สู่ข้อตกลงกับสหประชาชาติ
รัฐมนตรีไชยชนกยังเปิดเผยด้วยว่า จะเดินทางไปยัง (UN) เพื่อร่วมลงนามความร่วมมือด้านความมั่นคงทางไซเบอร์ในช่วงปลายเดือนตุลาคม ซึ่งเป็นอีกจุดเชื่อมสำคัญของยุทธศาสตร์ Active Cyber Defence 2025 เนื่องจากภัยไซเบอร์ส่วนใหญ่เป็น “อาชญากรรมข้ามพรมแดน” (Cross-border Cybercrime) การมีกรอบความร่วมมือในระดับระหว่างประเทศจึงเป็น “เครื่องมือเชิงยุทธศาสตร์” ที่จะเปิดทางให้ไทยสามารถดำเนินการเชิงรุกได้ในกรณีที่ภัยไซเบอร์เกิดจากต่างประเทศ เช่น กัมพูชา หรือประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาค
แนวทางนี้ยังสอดคล้องกับข้อเสนอที่ได้เสนอให้จัดตั้ง “ซุปเปอร์บอร์ดความมั่นคงไซเบอร์แห่งชาติ” (National Cyber Security Super Board) ซึ่งมีผู้แทนจาก กระทรวงกลาโหม ธนาคารแห่งประเทศไทย ธนาคารพาณิชย์ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) กระทรวงการต่างประเทศ และผู้ทรงคุณวุฒิผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้องทำงานร่วมกันในระดับยุทธศาสตร์เพื่อบูรณาการทั้ง “ความมั่นคง-การเงิน-กฎหมาย-เทคโนโลยี” เข้าด้วยกัน
3. การเชื่อมโยงกับกรอบสากล NIST และกฎหมายยุโรป
นโยบาย “แฮ็กกลับได้ภายใต้กรอบกฎหมาย” ของไทย สะท้อนแนวทางเดียวกับหลักการ Govern-Identify-Protect-Detect-Respond-Recover ของ NIST CSF ซึ่งเป็นกรอบที่มุ่งให้การบริหารภัยไซเบอร์มีทั้งระบบการกำกับ การระบุและวิเคราะห์ความเสี่ยง การป้องกัน การตรวจจับ การตอบโต้ และการฟื้นฟูอย่างเป็นวงจร นอกจากนี้ การออกแบบกฎหมาย Active Cyber Defence ของไทย ยังสามารถอ้างอิงและเทียบเคียงกับกรอบกฎหมายยุโรป ได้แก่ (1) NIS2 Directive ว่าด้วยการบริหารความเสี่ยงและการแจ้งเหตุภายใน 24-72 ชั่วโมง (2) DORA (Digital Operational Resilience Act) ว่าด้วยความยืดหยุ่นของระบบการเงินและการกำกับ Third-Party Providers (3) Cyber Resilience Act (CRA) เน้นให้ระบบดิจิทัลทุกประเภท “ปลอดภัยตั้งแต่ต้นทาง” (Secure-by-Design) (4) GDPR กำหนดมาตรการลงโทษเพื่อยับยั้งการละเมิดข้อมูลและการใช้ประโยชน์ในทางมิชอบ และ (5) เมื่อผนวก PDPA ของไทย เข้ากับกรอบกฎหมายสากลอย่าง NIS2, DORA, CRA, GDPR จะช่วยให้ยุทธศาสตร์ Active Cyber Defence 2025 ของไทยมี “ฐานทางกฎหมายที่เข้มแข็งทั้งภายในและภายนอกประเทศ” และสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับทั้งภาคประชาชนและภาคธุรกิจได้อย่างยั่งยืน ซึ่งถือเป็น นวัตกรรมเชิงยุทธศาสตร์และนโยบายของรัฐมตรีไชยชนก ชิดชอบ ในห้วงเวลาเพียง 4 เดือนเท่านั้น
การนำกรอบเหล่านี้มาประยุกต์ใช้จะช่วยให้ไทยมีกฎหมายและระบบการบริหารที่ “เทียบเท่าสากล” (Internationally Aligned) และสามารถเจรจาความร่วมมือกับประเทศอื่นได้อย่างเท่าเทียมในเวทีโลก
4. จากยุทธศาสตร์สู่ข้อเสนอเชิงปฏิบัติการ Roadmap 4 เดือนแรกของรัฐบาลอนุทิน ชาญวีรกูล ก่อนเลือกตั้งใหม่ในปีหน้า
ทั้งจากถ้อยแถลงของรัฐมนตรีไชยชนกฯ และข้อเสนอเชิงยุทธศาสตร์นี้ สามารถออกแบบ Roadmap 4 เดือนแรกของการปฏิบัติการ Active Cyber Defence 2025 ของรัฐบาลอนุทิน ชาญวีรกูล ก่อนเลือกตั้ง ได้ดังนี้
ระยะเวลา เป้าหมายหลัก การดำเนินการสำคัญ
เดือนที่ 1: จัดตั้งโครงสร้างการกำกับดูแลและกรอบกฎหมาย วางโครงสร้างซุปเปอร์บอร์ด กำหนด TOR และระเบียบการแจ้งเหตุ 24/72 ชั่วโมง สร้างศูนย์ข้อมูลภัยไซเบอร์กลาง (Threat Intelligence Hub) และ Legal Cell เพื่ออนุมัติการตอบโต้เชิงรุก
เดือนที่ 2: สร้างโครงสร้างพื้นฐานและศักยภาพ เปิด Command Center ทดลองระบบตอบโต้ภัยไซเบอร์ ฝึก Red-Blue Team ร่วมกับกระทรวงกลาโหม ธปท. และภาคเอกชน
เดือนที่ 3: ดำเนินการปฏิบัติการตอบโต้เชิงรุก ปฏิบัติการจริง “แฮ็กกลับ” ภายใต้กรอบกฎหมาย ปิดบัญชีฟอกเงิน-บล็อกโดเมนขบวนการข้ามชาติ
เดือนที่ 4: ประเมินผลและทำให้เป็นระบบที่ยั่งยืน สรุปผล ปรับปรุงระบบ และเสนอร่าง พ.ร.บ. Active Cyber Defence เข้าครม. ตั้งเป้าลดความเสียหายทางการเงินจากสแกมเมอร์ลงอย่างน้อย 50%
หมายเหตุ 24/72 ชั่วโมง หมายถึงอย่างน้อย 2 มิตินี้คือ
1) แจ้งเหตุเบื้องต้นภายใน 24 ชั่วโมง นับจากเวลาที่ตรวจพบเหตุการณ์
2) ส่งรายงานฉบับสมบูรณ์ภายใน 72 ชั่วโมง เพื่อให้ศูนย์บัญชาการกลางสามารถสั่งการและประสานงานได้ทันที ระเบียบนี้จะช่วยให้ ระบบเฝ้าระวังภัยไซเบอร์ระดับชาติทำงานได้แบบเรียลไทม์ และลดความเสียหายจากการแจ้งช้า
5. บทสรุปเชิงยุทธศาสตร์
ถ้อยแถลงของรัฐมนตรีไชยชนก ชิดชอบ รมว.กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมในครั้งนี้มิได้เป็นเพียง “นโยบายเชิงเทคนิค” หากแต่สะท้อน “การกำหนดยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติรูปแบบใหม่” ที่มุ่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนและชุมชนดิจิทัลทั่วประเทศ โดยการเสริมพลังด้วยองค์ความรู้จากกรอบ NIST และกฎหมายยุโรป จะทำให้ไทยมี “เกราะป้องกันที่ชาญฉลาด” และ “ดาบตอบโต้ที่ชอบด้วยกฎหมาย” ในการต่อสู้กับภัยไซเบอร์อย่างยั่งยืน ดังนั้น ภายใต้แนวคิด “Active Cyber Defence 2025” ประเทศไทยมีโอกาสก้าวขึ้นเป็น “ผู้นำด้านความมั่นคงไซเบอร์ในภูมิภาคเอเชีย” ที่สามารถผสานพลังระหว่างรัฐ เอกชน และประชาชน เข้าสู่ยุคของการป้องกันภัยไซเบอร์เชิงรุกอย่างแท้จริง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
บุกทลายแก๊งคอลฯ เช่าตึกแถวกลางเมืองมุกดาหาร ยึดซิมบ็อกซ์ คนร้ายไหวตัวหนีทัน
ชุดปฏิบัติการตำรวจภูธรภาค 4 ร่วมกับ ตำรวจภูธรจังหวัดมุกดาหาร เข้าตรวจค้นตึกแถวห้องหนึ่งบริเวณสถานีขนส่งจังหวัดมุกดาหาร สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งเบาะแสจากสายลับว่าที่ตึกห้องแถวบริเวณสถานีขนส่งจังหวัดมุกดาหาร จ
'อนุทิน' นำ สตช. ตีปี๊บกวาดล้างสแกมเมอร์ 13 วัน จับกุม 7,004 คดี
“อนุทิน” นำ สตช.แถลง “รวมพลังคนไทย ต้านภัยสแกมเมอร์” กวาดล้างอาชญากรรมออนไลน์ 13 วัน จับกุม 7,004 คดี
หนูแซะโรมเบี้ยวถก‘สแกมเมอร์’
รบ.เปิดตัวเลขจับสแกมเมอร์ 38 วัน มูลค่า 3.5 หมื่นล้าน “ดีเอสไอ” ขอดูมูลฐานคดีเก่า “นักการเมือง ช.” โยงเว็บพนันก่อน พบปี 67
'โฆษกรัฐบาล' เผยตัวเลขจับสแกมเมอร์ 38 วัน มูลค่า 3.5 หมื่นล้าน ชี้สถิติครึ่งปีแรกแค่พันกว่าล้าน
นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการดำเนินปราบปรามสแกมเมอร์ของรัฐบาล ว่า ตลอดระยะเวลา 38 วันที่ผ่านมา ตั้งแต่เข้ามาเป็นรัฐบาล มีรายงานการจับกุมเครือข่ายสแกมเมอร์ เคส ใหญ่ ๆ ครั้งแรกเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม ซึ่งมีมูลค่าเงินหมุนเวียนต่อปี 1.5 หมื่นล้านบาท
ฟ้ากับเหว! เปรียบเทียบ 4 วิธีปราบสแกมเมอร์ของรัฐบาลอื่น กับ 7 วิธีรัฐบาลหนู
น.ส.สฤณี อาชวานันทกุล นักเขียนและนักวิชาการอิสระด้านเศรษฐศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ว่า
ไทยร่วมอาเซียนลงนามส่งผู้ร้ายข้ามแดน เสริมเขี้ยวเล็บปราบสแกมเมอร์
นักวิชาการธรรมศาสตร์ สะท้อน สนธิสัญญาอาเซียนส่งผู้ร้ายข้ามแดนที่ ครม. ไฟเขียวให้ ยธ.ร่วมลงนาม ช่วยเสริมเขี้ยวเล็บกวาดล้างอาชญากรรมข้ามชาติ รวมทั้ง “สแกมเมอร์” อย่างครบวงจร ครอบคลุมการส่งผู้ร้ายข้ามแดน หลังก่อนหน้านี้ “ไทย” ลงนามสนธิสัญญาความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องทางอาญาของอาเซียนมาแล้ว 1 ฉบับ

