'สดศรี' ชี้ช่องศาลรธน. เรียก 'อดีต 20 กรธ.' เบิกความปมนายกฯ 8 ปี

12 ก.ย.2565 - นางสดศรี สัตยธรรม อดีตกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวถึงกรณีพิจารณาวาระการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นั้นว่า เราจะเห็นได้ว่า กรธ. ทั้ง 20 คน ยังลงความเห็นในเรื่องการนับวาระการดำรงตำแหน่งนายกฯไม่เหมือนกัน ทั้งจากการให้สัมภาษณ์ และการชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ เป็นการชี้ในเรื่องที่ถือว่าเป็นข้อสำคัญในคดีดังกล่าว และข้อขัดแย้งดังกล่าวยังเป็นเรื่องที่พยานบุคคลยังมีความสับสนกันอยู่

นางสดศรี กล่าวว่าเหมือนกรณีการสร้างบ้านเมื่อบ้านเกิดปัญหา คนที่จะให้คำตอบได้อย่างดีที่สุดคือช่างที่ก่อสร้างบ้าน ซึ่งในกรณีนี้ก็คือ กรธ. ยกร่างรัฐธรรมนูญปี 2560 ดังนั้นในเรื่องนี้เพื่อให้เกิดความชัดเจนน่าจะให้ กรธ.ทั้ง 20 ท่าน เป็นพยานศาล ในการให้การเพื่อให้เกิดความชัดเจนยิ่งขึ้น ว่าเหตุผลอะไรถึงมีการบัญญัติมาตรา 158 เรื่องวาระดำรงตำแหน่งนายกฯ และมาตรา 264 ด้วย ซึ่งการที่ กรธ.ไปให้การต่อศาลน่าจะเกิดประโยชน์แก่ทุกฝ่าย ทั้งศาลรัฐธรรมนูญจะได้รับฟังเจตนารมณ์จากผู้ร่างรัฐธรรมนูญ น่าจะเกิดผลดีกว่าที่จะต้องไปตีความโดยศาล เพราะหากมีชี้แจงจากตัว กรธ.เองต่อศาลน่าจะเป็นเรื่องดีที่สุด ซึ่งจะทำให้เกิดความเข้าใจว่าทำไมศาลรัฐธรรมนูญถึงมีคำวินิจฉัยในทางใดทางหนึ่ง

และจะต้องเป็นการพิจารณาโดยเปิดเผย ซึ่งการเบิกความก็คงกินเวลาไม่มาก เนื่องจากอธิบายเพียงมาตรา 158 มาตรา 264 และมาตราที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยตรงคงจะใช้เวลาเพียงเล็กน้อยในการเบิกความแต่ละท่าน นอกจากนั้นยังเชื่อว่าในการประชุม กรธ.น่าจะมีการบันทึกเทปไว้ ดังนั้นการถอดเทปการประชุมประกอบกับการเบิกความ กรธ. น่าจะยิ่งเกิดความชัดเจนมากยิ่งขึ้น

“น่าจะเป็นผลดีและเป็นการที่จะเคลียร์ข้อกฎหมายนี้ได้ชัดเจนจากผู้ยกร่างเอง โดยที่ศาลไม่ต้องไปตีความอะไรเลย แต่ให้ผู้ร่างรัฐธรรมนูญเป็นผู้ชี้แจงเหตุผลในการบัญญัติกฎหมาย เพราะรายงานการประชุมเป็นเพียงบทสรุป ซึ่งจะสู้รายงานจากปากของผู้ร่างรัฐธรรมนูญไม่ได้”นางสดศรี​ ย้ำ

นางสดศรี กล่าวอีกว่าไม่ใช่การชี้นำศาลแต่เป็นเรื่องที่เคยเป็นกรธ.แล้ววิธีการปฏิบัติในกรธ.ก็ทำมาอย่างนี้ คือแต่ละมาตราก็จะมีการพูดกัน หากเห็นไม่ตรงกันก็จะมีการลงมติ เสียงข้างมากว่าอย่างไรก็จะเป็นไปอย่างนั้น แต่พอเกิดปัญหาแล้วกลายเป็นว่ามีคนไปพูดอีกอย่างหนึ่ง ทำให้ประชาชนเกิดความสับสน และเกิดความไม่แน่ใจในผลคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ สิ่งเหล่านี้หากศาลสามารถให้ กรธ. ซึ่งเป็นผู้ร่างกฎหมายสามารถอธิบายเจตนารมณ์ของกฎหมาย ก็จะเป็นประโยชน์สูงสุดต่อส่วนรวมและประชาชน.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ศาลรัฐธรรมนูญ นัดไต่สวน 'ภูมิธรรม-ทวี' แทรกแซงคดีฮั้ว สว.

ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาคำร้องในคดีที่ ประธานวุฒิสภาส่งคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่า ความเป็นรัฐมนตรีของนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม

ประธาน กมธ.แก้รัฐธรรมนูญคาด 2 ปีได้เห็นการเปลี่ยนผ่านประเทศ!

ปธ.กมธ.แก้รัฐธรรมนูญยันหลักการปรับกลไกทำรัฐธรรมนูญ เพื่อปลดล็อกสู่ รธน.ฉบับใหม่ คาด 2 ปีเศษจะได้เห็นการเปลี่ยนผ่านประเทศ

ศาลรธน.ยังไม่นัดวินิจฉัยสถานะ 'ภูมิธรรม-ทวี' ปมแทรกแซงคดีฮั้วสว. รอความเห็นพยาน

ศาลรัฐธรรมนูญได้มีการพิจารณาคำร้องที่ประธานวุฒิสภาส่งคำร้องของสมาชิกวุฒิสภาที่ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 42

มติเอกฉันท์! ศาลรธน. ไม่รับคำร้อง 'เรืองไกร' กล่าวหารัฐสภาแก้ รธน.ล้มล้างการปกครอง

‘ศาลรธน.’ มีมติเอกฉันท์ไม่รับคำร้อง ‘เรืองไกร’ ปมกล่าวหาประธานรัฐสภา–สมาชิกรัฐสภาใช้สิทธิล้มล้างการปกครอง ชี้การประชุมร่วมแก้รัฐธรรมนูญยังไม่ปรากฏพฤติการณ์เข้าข่ายมาตรา 49 แม้อัยการสูงสุดไม่ดำเนินการแต่ผู้ร้องมีสิทธิเข้าศาลโดยตรงก็ตาม

คนเสื้อแดงกินแห้ว! ศาล รธน. ไม่รับวินิจฉัย ปม MOA 'ภูมิใจไทย-ปชน.'

ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาคำร้องในคดีที่นายนิยม นพรัตน์ (ผู้ร้อง) ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 กล่าวอ้างว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ผู้ถูกร้องที่ 1) และนายณัฐพงษ์