ล้วงลึกสไตล์ทำงาน-มุมมองการเมือง อ้น ทิพานัน - โฆษกคู่ใจ 2 ลุง

ชื่อของ อ้น-ทิพานัน ศิริชนะ ในทางการเมือง เป็นที่รู้จักของสังคมการเมืองและประชาชนดีอยู่แล้ว ตั้งแต่สมัยเป็นอดีตรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ จนมาถึงเป็นข้าราชการการเมืองประจำสำนักงานเลขาธิการนายกรัฐมนตรี  กับการเป็นนักการเมืองที่จะให้สัมภาษณ์และนำเสนอประเด็นตอบโต้ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล โดยเฉพาะหากพาดพิงพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อย่างคมกริบและครบเครื่อง ทั้งเหตุผล ข้อกฎหมาย ข้อเท็จจริง จนเป็นขวัญใจของกองเชียร์ลุงตู่มาตลอด ตลอดจนการให้ข้อมูลในด้านต่างๆ ทั้งการเมือง กฎหมาย เศรษฐกิจ ผ่านพื้นที่สื่อและพื้นที่ของตัวเองทางโซเชียลมีเดีย

มาวันนี้กับบทบาท รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และโฆษกพรรคพลังประชารัฐ ที่ได้ตำแหน่งทางการเมืองทั้งสองตำแหน่งในเวลาใกล้เคียงกัน ทำให้เรานัดพูดคุยแบบสบายๆ เพื่ออยากรู้สไตล์การทำงาน รวมถึงมุมมองต่อสถานการณ์รัฐบาลและตัวพลเอกประยุทธ์ในเวลานี้

อ้น ทิพานัน บอกถึงขอบเขตการทำงานของตัวเองว่า  บทบาทของการเป็นโฆษกพรรคพลังประชารัฐ และรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีหรือรองโฆษกรัฐบาล ก็ไปในทางเดียวกันคือ การทำงานเรื่อง การสื่อสารในเรื่องผลงาน ทั้งผลงานของพรรคพลังประชารัฐและผลงานของรัฐบาล ที่คาบเกี่ยวกันเพราะพลังประชารัฐคือพรรคแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลชุดปัจจุบัน โครงการส่วนใหญ่ที่รัฐบาลทำจึงมีความเชื่อมโยงระหว่างพรรคพลังประชารัฐกับรัฐบาล

งานที่ทำจึงเป็นการสื่อสารเพื่อให้ประชาชนได้เห็นภาพชัดเจนมากขึ้น โดยแนวทางการสื่อสารของอ้นจะเน้นการสื่อสารแบบให้เข้าใจง่าย ความตั้งใจของเราคือไม่อยากให้เนื้อหา คำที่ใช้ในการสื่อสารออกไปเป็นเชิงวิชาการหรือศัพท์เทคนิคมากนัก แต่จะเป็นการสื่อสารที่สื่อออกไปแล้วประชาชนนอนอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ที่บ้านก็เข้าใจได้ หรืออ่านผ่านมือถือก็เข้าใจได้ง่ายเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นประชาชนในช่วงอายุใด ทั้งเด็ก วัยรุ่น ผู้สูงอายุ

-พลเอกประยุทธ์และพลเอกประวิตรติดต่อทาบทามด้วยตัวเองไหม?

ทั้งสองท่านก็มีการพูดคุยและให้คำแนะนำ  ซึ่งตรงนี้ก็เป็นความรับผิดชอบที่เพิ่มมากขึ้นจากเดิม เราคือประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี แต่เราก็ช่วยในการสื่อสารอยู่ตลอด แต่พอมาอยู่ในบทบาทของรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ก็จะสื่อสารมีน้ำหนักเพิ่มมากขึ้น

-ในส่วนของการเป็นโฆษกพรรคพลังประชารัฐ  เข้ามาในส่วนนี้ได้อย่างไร และบทบาทการทำงานจะเป็นแบบไหน?

ทางพลเอกประวิตร หัวหน้าพรรค บอกว่าให้มาช่วยในเรื่องการสื่อสารของทางพรรคพลังประชารัฐให้เพิ่มมากขึ้น เพราะพลเอกประวิตรเห็นความสำคัญของการสื่อสาร  ทั้งในเรื่องของข้อมูลและผลงานต่างๆ ของสมาชิกพรรค และ ส.ส.ของพลังประชารัฐ เพราะในทุกๆ วัน ส.ส.ของพรรคมีผลงานที่ช่วยเหลือประชาชนเยอะมาก จึงต้องมาทำให้ประชาชนได้รับรู้ในวงกว้าง รวมถึงผลงานของพรรคและผลงานของรัฐบาลที่เชื่อมโยงกันอย่างแยกไม่ได้อยู่แล้ว ก็มาดูว่าจะทำยังไงให้ข้อมูลเหล่านี้ส่งไปถึงประชาชน ท่านพลเอกประวิตรก็เลยให้มาทำงานในบทบาทของโฆษกพรรคพลังประชารัฐเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งตำแหน่ง

-บทบาททั้งสองอย่างจะเน้นเรื่องการตอบโต้ ชี้แจงทางการเมืองเป็นหลักหรือไม่?

อ้นว่าการตอบโต้จะไม่โต้ทุกเรื่อง ต้องมองว่าอะไรกระทบมากกระทบน้อย และคงต้อง combination  ในหลายๆ แบบ ซึ่งเรื่องการตอบโต้มันก็หลีกเลี่ยงไม่ได้  ถ้ามันมีข่าวที่กระทบกระเทือนหรือบิดเบือนข้อเท็จจริง ความเป็นจริง เราก็ต้องชี้แจง อันนี้คือบทบาทของการตอบโต้ที่ใช่ ที่ไม่ใช่การจะไปทะเลาะอะไรกับใคร แต่เราทำให้ข้อมูลที่ส่งไปในสังคมเป็นข้อมูลที่ถูกต้อง ส่วนเรื่องของการทำงานต่างๆ เช่นการสื่อสารผลงานรัฐบาลและพรรคพลังประชารัฐ เป็นสิ่งที่เราต้องทำอยู่แล้ว แต่จะรวมไปถึงการสื่อสารในเชิงรุกให้มากขึ้น

ดังนั้น การทำงานของอ้นไม่ใช่ว่าจะต้องออกข่าวเพียงอย่างเดียว เพราะการสื่อสารสามารถทำได้หลายรูปแบบ และหลายแพลตฟอร์มที่นำมาใช้ เพราะตอนนี้คนที่ได้รับข่าวสารจากเรามีหลากหลายและเป็นวงกว้าง เราสื่อสารไปทั่วประเทศ เราจะสื่อสารด้วยวิธีการใดวิธีการหนึ่งไม่ได้ ต้องสื่อสารทั้งผ่านหนังสือพิมพ์ รายการวิทยุ ทีวี รวมถึงโซเชียลมีเดียต่างๆ เช่น เฟซบุ๊ก ติ๊กต็อก ทวิตเตอร์ ซึ่งแต่ละกลุ่มก็จะมีคนที่ติดตามในบุคลิกที่แตกต่างกัน ทำให้อ้นก็ทำงานแบบไม่ได้มีข้อจำกัด ซึ่งตรงนี้ก็เป็นข้อดีอย่างหนึ่งที่ทางผู้ใหญ่เข้าใจและไม่ได้กำหนดวิธีการในการสื่อสาร

-มีวิธีการทำงาน การติดตามข่าวแต่ละวันอย่างไร ในการทำงานในส่วนนี้?

โดยปกติก่อนนอนก็จะอ่านข่าวและติดตามข่าวแบบสรุปข่าวในรอบวัน เช่น ไลน์แอดไทยโพสต์ นสพ.ต่างๆ  ทีวี เราไม่ได้คิดว่าการทำงานตรงนี้จะต้องมาเซตอัปเป็นวอร์รูมอะไร เพราะวันนี้ทุกอย่างมันอยู่ในโทรศัพท์มือถือเครื่องเดียวที่เราสามารถจะติดตามได้ทันที เราก็จะคอยมอนิเตอร์ข่าวเอง และพอเช้าขึ้นมาเราก็จะดูข่าวในภาพรวมอีกหนึ่งรอบ แต่ตอนกลางคืนเราจะเข้าใจและเห็นแนวทางในแต่ละวันแล้ว และพอประเมินได้ว่าทิศทางในวันพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร เพราะเป็นเรื่องที่พอจะคาดการณ์ได้ เราก็จะเริ่มเตรียมข้อมูล และตอนเช้าก็จะเป็นอีกรอบหนึ่ง เพื่อคอยรีเช็กว่าสิ่งที่เราเข้าใจเป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่ และข้อมูลที่เราเตรียมไว้ขาดหรือตกหล่นอะไรไปหรือไม่ หรือว่ามีการเปลี่ยนแปลงของข้อเท็จจริงหรือไม่ นอกจากนี้ในการทำงานแต่ละวันก็จะมีสำนักโฆษกฯ ก็จะมีการสรุปส่งมาให้ด้วยเช่นกัน

-พลเอกประยุทธ์เคยส่งไลน์มาหาเป็นการส่วนตัวไหม บอกว่าให้อ้นพูดเรื่องนี้หน่อย?

ท่านไม่ได้สั่งว่าให้เราพูดเรื่องไหน ที่ผ่านมาเราจะทำเลย แต่หลังจากนั้นท่านคงอ่านหรือเห็นสิ่งที่เราสื่อสารออกไป แต่ที่ผ่านมาก็ยังไม่มีการตำหนิกลับมา (หัวเราะ)

 -มีการมองกันว่าการสื่อสารจากฝ่ายภาครัฐบาล ที่ผ่านมาค่อนข้างมีปัญหา เช่น สื่อสารช้า สื่อสารน้อย  โดยเฉพาะกับการสื่อสารผ่านโซเชียลมีเดีย?

อ้นว่าเราจะมองแค่โซเชียลมีเดียอย่างเดียวไม่ได้  เพราะอย่างที่เห็นในสังคมไทย คนที่ติดตามข่าวสารนอกเหนือจากโซเชียลมีเดียก็มีอีกตั้งเยอะ คนที่มีความคิดเห็นที่ต่างจากโซเชียลมีเดียก็มากเช่นกัน แต่ก็ต้องยอมรับและต้องมีการปรับปรุงพัฒนาเรื่องของการสื่อสารในโซเชียลมีเดียและการสื่อสารอื่นๆ ให้เร็วมากยิ่งขึ้น รวมถึงต้องครอบคลุมให้มากขึ้น อันนี้ก็เป็นสิ่งที่ต้องทำให้ดียิ่งขึ้น แต่การที่จะบอกว่ากระแสในโซเชียลมีเดียแล้วจะอ้างอิงว่าคือกระแสของคนทั้งประเทศ คงไม่ใช่ เพราะคนที่ติดตามข่าวสารแล้วมีความคิดเห็นในเชิงเห็นด้วยหรือสนับสนุนรัฐบาล อาจไม่แสดงออกมาในโซเชียลมีเดียก็ได้ ดังนั้นเราก็ต้องรับฟังให้รอบด้าน แต่เราก็ไม่ได้ทิ้งความคิดเห็นที่จะนำไปปรับปรุงหรือพัฒนา โดยเรื่องที่มีการพูดกันว่ารัฐบาลยังไม่ได้สื่อสารในโซเชียลมีเดีย หรือทำแล้วแต่ยังช้า ก็เป็นเรื่องที่เราต้องนำกลับมาคิดและพัฒนาให้เพิ่มมากขึ้น เพราะยุคสมัยก็เปลี่ยนไป ดังนั้นภาครัฐก็ต้องพัฒนาให้เท่าทันกับสังคม

-หลังจากนี้จะเป็นสวมบทบาทองครักษ์พิทักษ์ลุงตู่หรือไม่?

คำว่าองครักษ์พิทักษ์ลุงตู่ เรามองว่าหากมีคนพูดในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เราก็ต้องชี้แจง แต่หากไม่ใช่สิ่งที่ถูก อะไรที่ไม่ถูกกฎหมาย เราก็ไม่ได้มีหน้าที่ต้องพิทักษ์ ถูกไหม หากลุงตู่ไม่ได้เป็นคนดี หรือข้อมูลข้อเท็จจริงมันผิดพลาด เราก็ต้องไม่พิทักษ์คนไม่ดี แต่ ณ วันนี้สิ่งที่เราเห็น คือท่านมีความตั้งใจดี ตั้งใจทำเพื่อประชาชน เพื่อประเทศชาติ เราก็ช่วยกันสื่อสารปกป้องคนดี เพื่อให้คนดีได้มีกำลังต่อไป

 

-แล้ว "อ้น ทิพานัน" เป็นคนของสายไหน รู้จักใครกันก่อนกัน ลุงตู่หรือลุงป้อม?

น่าจะทั้งสองสายสองคนเลยได้ไหม (หัวเราะ) ส่วนการได้รู้จักกับทั้งสองท่าน เราก็ได้รู้จักกับลุงป้อมก่อน  เพราะลุงป้อมมาในบทบาทของพลังประชารัฐ เป็นหัวหน้าพรรค แต่หากในแง่การติดตามข้อมูลข่าวสารก่อนที่เราจะเข้ามาทำงานการเมือง เราก็เห็นได้ยินชื่อพลเอกประยุทธ์ก่อน ดังนั้นถามว่ารู้จักคนไหนก่อนก็ตอบยาก (หัวเราะ)

-ที่ผ่านมาคนที่คอยออกมาปกป้องรัฐบาลและพลเอกประยุทธ์ หลายคนกระเด็นไปแล้วในทางการเมือง เช่น ปารีณา ไกรคุปต์, สิระ เจนจาคะ, เสกสกล อัตถาวงศ์ ตรงนี้หวั่นไหมที่เราเข้ามารับหน้าที่หลังจากนี้ ยิ่งเป็นผู้หญิงด้วย?

อ้นว่าถ้าเราทำอย่างมีหลักการและมีจุดยืน ซึ่งจุดยืนของเราอย่างที่บอก เราทำเพื่อปกป้องคนที่ทำประโยชน์เพื่อประเทศชาติ เราไม่ได้ประโยชน์หรือแสวงหาประโยชน์ จากตรงนี้ ดังนั้นเราใช้ข้อมูล ข้อเท็จจริง ข้อกฎหมายทุกอย่างมาปรับใช้ ไม่ใช่การตอบโต้ทางการเมืองโดยปราศจากข้อมูลหรือปราศจากจุดยืน ดังนั้นถามว่ากลัวไหม-ก็ไม่ได้กลัว เพราะเรามีเกราะคุ้มภัย คือข้อเท็จจริง  ข้อกฎหมาย และศีลธรรม

-การที่เป็นผู้หญิงแล้วต้องมายืนอยู่ตรงนี้ เหมือนเป็นสายล่อฟ้า เป็นด่านกันชนให้รัฐบาลและพรรคพลังประชารรัฐด้วย มองอย่างไร หรือมองว่าในเรื่องเพศสภาพ จะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายในทางการเมืองก็เท่าเทียมกัน?

เราว่าไม่เกี่ยวในเชิงเพศสภาพ แต่ว่าก็ต้องขอบคุณสังคมไทยและสังคมทั่วโลกที่ผู้ชายก็ยังมีมารยาท ให้เกียรติผู้หญิงและให้ความเคารพในความเป็นเพศหญิง อันนี้ก็ต้องขอบคุณ แต่ถามว่าเรื่องความรู้ความสามารถ เราก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้ชาย เราก็ทำงานได้ ไม่แตกต่าง

-หากสมมุติว่าสุดท้ายแล้วลุงตู่ไม่ได้กลับมาเป็นนายกฯ เต็มตัว จากผลคดีแปดปีในชั้นศาลรัฐธรรมนูญ สถานการณ์รัฐบาลจะเป็นอย่างไร?

สถานการณ์รัฐบาลก็คงเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ  เหมือนอย่างปัจจุบันที่ท่านหยุดพักการปฏิบัติหน้าที่แล้ว พลเอกประวิตรขึ้นมาเป็นรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี มันก็เป็นเรื่องปกติมากของการทำงานเพราะข้อกฎหมายได้กำหนดไว้แล้ว หลายคนไปตกใจว่าลุงป้อมจะขึ้นมาแย่งชิงอำนาจ ซึ่งจริงๆ ไม่ใช่เพราะรัฐธรรมนูญกำหนดไว้แล้ว  และเมื่อก่อนสมัยพลเอกประยุทธ์ไปราชการต่างประเทศ พลเอกประวิตรก็รักษาการนายกฯ โดยอัตโนมัติ ดังนั้นถ้าสมมุติว่าเกิดเหตุการณ์แบบที่ว่าขึ้นจริงๆ ข้อกฎหมายในรัฐธรรมนูญก็กำหนดไว้ชัดเจนแล้ว เราก็แค่เดินไปตามสเตปขั้นตอนนั้น และโครงสร้างที่ลุงตู่ได้วางไว้ในเรื่องการบริหารราชการต่างๆ ท่านได้วางไว้ล่วงหน้านานแล้ว ไม่ได้วางไว้เผื่อในสถานการณ์นี้ แต่มองไปถึงอนาคตว่าในอีก 5  ปี 10 ปี 20 ปีข้างหน้า ประเทศไทยจะต้องพัฒนาไปในทิศทางไหนเพื่อให้ประเทศเกิดความมั่นคงแข็งแรงและสู้กับต่างประเทศได้ อันนี้ก็คือวิสัยทัศน์ที่ก็เหมือนกับเราสร้างบ้าน หากเราวางเสาเข็มไว้แข็งแรง ใครจะเข้ามาสร้างต่อ จะเข้ามาตกแต่งต่อเติมอย่างไรต่อ บ้านเราก็ยังจะมั่นคงแข็งแรง เพราะฉะนั้นลุงตู่จะอยู่ต่อหรือลุงตู่ไม่อยู่ต่อ เรายังสามารถที่จะเดินหน้าไปได้ภายใต้กรอบของกฎหมาย ภายใต้ยุทธศาสตร์ที่รัฐบาลได้วางไว้ ส่วนเรื่องคำร้องคดีดังกล่าว เราก็คงต้องรอฟังคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่จะออกมาต่อไป. 

..........................................................................

พปชร.กระแสยังดี ไม่ใช่ยุคขาลง

ลุงป้อมเป็นคนเก่งและฉลาด

ในบทสนทนาการเมืองครั้งนี้ เมื่อถามถึงประเด็นการเมือง โดยเฉพาะการเมืองในบริบทพรรคการเมืองและการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เมื่อเราถามถึงสิ่งที่หลายคนมองและพูดกันว่า กระแสพรรคพลังประชารัฐไม่ดี อยู่ในช่วงขาลง อ้น ทิพานัน โฆษกพรรคพลังประชารัฐ ย้ำว่า  เราไม่ได้มองว่าพรรคอยู่ในช่วงขาลงเลย อย่างที่เราเห็น ตอนนี้พรรคกำลังอยู่ระหว่างการเตรียมผู้สมัครที่พรรคจะส่งเลือกตั้งในระบบเขต ที่พบว่าหลายเขตเลือกตั้งทั่วประเทศมีบุคคลแจ้งความจำนงอยากจะลงสมัครในนามพรรคพลังประชารัฐเยอะมาก ที่แสดงให้เห็นว่าพลังประชารัฐยังมีความน่าสนใจ เพราะหากพรรคขาลงจริงคงไม่มีใครอยากมาลงเลือกตั้งในนามพรรคพลังประชารัฐ และปัจจุบัน พรรคก็ยังยืนยันสนับสนุนพลเอกประยุทธ์เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพลังประชารัฐ

ส่วนกติกาเลือกตั้งที่จะออกมา ไม่ว่าจะเป็นบัตรสองใบหรือสูตรปาร์ตี้ลิสต์จะออกมาแบบไหน จะหาร 100  หรือหาร 500 สุดท้าย มันก็อยู่ที่ผลงานของพรรคพลังประชารัฐและผลงานของตัวบุคคลในพรรคที่ทำไว้เป็นอย่างไรบ้าง ประชาชนชื่นชอบหรือไม่ ประชาชนเห็นผลงานเราหรือไม่ เพราะต่อให้ออกมาเป็นหาร 100 หรือหาร 500 แล้วคิดว่าได้เปรียบในเชิงกฎเกณฑ์ แต่เราไม่มีผลงานเลย ไม่เคยไปให้เขาเห็นหน้า ไปเคยไปช่วยเหลือคลายความเดือดร้อนประชาชนได้เลย เขาก็คงไม่ได้อยากเลือกเรา เพราะคะแนนมาจากประชาชน เพราะฉะนั้นมันไม่มีความได้เปรียบเสียเปรียบ แต่มันขึ้นอยู่กับตัวเราว่าเราทำงานเต็มที่หรือไม่

เมื่อถามถึง ในฐานะที่จะเป็นผู้สมัครระบบเขต กทม. ของพลังประชารัฐ มองว่าการที่พลังประชารัฐส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ก. 50 คน แต่ชนะได้มาแค่ 2 คน ทำให้ทีมผู้สมัคร ส.ส.เขต กทม.ของพรรคหวั่นไหวหรือไม่ โฆษกพรรคพลังประชารัฐ ยืนยันเสียงดังฟังชัด คงไม่หวั่นไหวเพราะเป็นการเลือกตั้งท้องถิ่น ซึ่งทุกคนก็ทราบกันดีว่าการเลือกตั้งท้องถิ่น กับการเลือกตั้งในสนามใหญ่มีความแตกต่างกันค่อนข้างเยอะ โดยสนามเลือกตั้งใหญ่กรุงเทพมหานคร พลังประชารัฐก็ยังมีความมั่นใจในการทำหน้าที่และลงแข่งขันอยู่ทั้ง 33 เขต โดยตอนนี้อยู่ระหว่างการจัดกระบวนทัพของภาค กทม. ซึ่งเชื่อว่าเมื่อพรรคพลังประชารัฐเปิดตัวทีมผู้สมัคร ส.ส.เขตของ กทม.และผู้ที่จะมีบทบาทในการดูแลพื้นที่ กทม. ก็น่าจะทำให้คนกรุงเทพมหานครได้เห็นว่าพลังประชารัฐสามารถจะดูแลชาว กทม.ได้ ซึ่งเป้าหมายจำนวนที่นั่ง ส.ส.เขต ทางพรรคก็ต้องหวังว่าจะได้มากกว่าการเลือกตั้งปี 2562 ที่ตอนนั้นพรรคได้มา 13 คน ซึ่งตัวเราเองก็ไม่เคยคิดจะย้ายไปอยู่พรรคการเมืองไหน 

-คนภายนอกมองว่า พลังประชารัฐยังเป็นพรรคการเมืองที่ไม่ค่อยทันสมัย เป็นพรรคที่ไม่มีฐานเสียงคนรุ่นใหม่?

พลังประชารัฐมีบุคคลที่หลากหลายและมีหลายรุ่น ที่สำคัญพลังประชารัฐให้โอกาสคนรุ่นใหม่ๆ เสมอมา อย่าง อ้นก็ถือว่าเป็นคนรุ่นใหม่ในพรรคพลังประชารัฐ ที่ผู้ใหญ่ในพรรคให้โอกาสทำงานและเปิดโอกาสให้ทำงานได้อย่างเป็นอิสระ อันนี้คือภาพที่เห็นชัดที่สุดว่าไม่ใช่พรรคแบบเผด็จการ ไม่ใช่พรรคที่เชย แต่เป็นพรรคที่เปิดโอกาสให้ทุกคน บางพรรคต้องมีลำดับการสั่งงาน มีขั้นตอนที่กว่าจะได้เข้าพบหัวหน้าพรรค กว่าจะได้มีบทบาทในพรรค หรือกว่าจะได้ออกมาแสดงความเห็นได้ต้องผ่านการสกรีนหลายขั้นหลายตอน แต่พลังประชารัฐเปิดกว้างจริงๆ ให้ทุกคนได้แสดงความเห็นอย่างเท่าเทียมกัน อย่างหัวหน้าพรรคท่านพลเอกประวิตร เวลาประชุมพรรคก็พูดคุยปกติ  และจะถามคนที่เข้าประชุมทุกครั้งในแต่ละประเด็น ว่ามีใครจะเสนอความเห็นอะไรหรือไม่ และใครมีความเห็นแต่ละเรื่องอย่างไร

-ถึงตอนเลือกตั้ง ลุงป้อมที่เป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐจะไหวไหม?

ลุงป้อมจริงๆ เป็นคนเก่ง เป็นคนพูดง่ายๆ แบบภาษาชาวบ้านและกันเอง ก็คือลุงป้อมเป็นคนเก่งและเป็นคนฉลาด อาจจะด้วยประสบการณ์ที่เขาเป็นผู้นำหน่วยงาน ผู้นำองค์กรมาก่อนในหลายๆ หน่วย และในเชิงที่ลุงป้อมอยู่ในแวดวงการเมือง เรามองว่าลุงป้อมเป็นคนมีข้อมูลประกอบในการตัดสินใจที่ค่อนข้างครบถ้วน ดังนั้นเราก็เชื่อว่าเมื่อท่านตัดสินใจไปในทางไหน คือท่านได้พิจารณาอย่างรอบด้านแล้ว

-ประโยคดังจากคำให้สัมภาษณ์ที่บอกว่า นายกฯ เถื่อนอยู่ดูไบ มีที่มาที่ไปอย่างไร เรื่องนี้ถึงขั้นทำให้ ทักษิณต้องออกมาตอบโต้?

ตอนที่เราอ่านข่าวตอนแรก เราก็ขมวดคิ้วว่าทำไมฝ่ายนั้นเขาใช้คำว่านายกฯ เถื่อน เพราะว่าในความเป็นจริง คำว่าเถื่อนคืออะไร คำว่าเถื่อนคือความไม่ถูกต้อง หรือเหมือนกับผิดกฎหมาย เพราะฉะนั้นในวันนี้หากเราพูดถึงนายกฯ ที่ผิดกฎหมาย เรานึกถึงคนอื่นไม่ได้เลย มันก็เลยเป็นที่มาที่ไป เราก็บอกว่าที่มาบอกว่าพลเอกประยุทธ์เป็นนายกฯ เถื่อน มันไม่ใช่ มันไม่มีองค์ประกอบอะไรที่จะไปเข้ากับคำว่านายกฯ ที่ผิดกฎหมาย ก็เลยเป็นที่มาที่ไป ก็เลยบอกว่านายกฯ เถื่อนอยู่ดูไบ ตอนนั้นก็ไม่คิดว่าจะตรงใจกับคนไทยจำนวนมาก ก็ต้องขอบคุณอดีตนายกฯ ทักษิณที่ยังติดตามข่าวสาร ที่เราพูดเบาๆ แต่ดังไกลไปถึงดูไบ ก็หวังว่าในอนาคตที่เราสื่อสารข้อมูลความจริงต่างๆ  ก็จะดังไกลแบบนี้ ให้เขาได้เข้าใจข้อเท็จจริงของประเทศไทยและกฎหมายไทยเพิ่มมากขึ้น เพราะเป็นเรื่องที่คนไทยอยากให้เขาได้ยินว่าความรู้สึกของคนไทย ณ วันนี้เขาคิดอ่านกันแบบไหน และเป็นความรู้สึกที่แท้จริง ไม่ใช่ความรู้สึกที่มีแต่คนเอาเรื่องดีๆ ไปบอกเขา

สำหรับที่เพื่อไทยพยายามบอกว่าจะแลนด์สไลด์ เราก็ยังมองว่ายาก เพราะวันนี้คนไทย คิด-วิเคราะห์-แยกแยะ  และมีข้อมูลเพิ่มเติมขึ้นมาเยอะ จะแลนด์สไลด์ให้อุ๊งอิ๊ง เขาก็ต้องคิดแล้วว่าวุฒิภาวะและความเหมาะสมมีมากน้อยแค่ไหน ประสบการณ์ที่จะมาเป็นผู้นำประเทศมีเพียงพอแล้วหรือยัง ซึ่งทั้งหมดนี้เราเชื่อว่าประชาชนรู้เท่าทันกับข่าวสาร และการสร้างกระแสแลนด์สไลด์ ที่เขาอาจสร้างกระแสได้ แต่ต้องย้อนกลับมาดูความจริงที่เกิดกับสังคมด้วยว่า ไม่สามารถหลอกคนไทยได้ง่ายๆ อีกแล้ว

-แล้วพรรคก้าวไกลเป็นยังไง บางกระแสบอกว่าก็มาแรง?

ก้าวไกลในเชิงขับเคลื่อนของเขา เขาจะขับเคลื่อนในเชิงทฤษฎี แต่มันไม่เห็นภาพในเชิงปฏิบัติว่าผลงานที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติของเขาจริงๆ ที่มันเห็นผลกับประชาชน และเป็นประโยชน์กับประเทศชาติคืออะไร คือมันไม่เห็นผลที่จับต้องได้จริง ว่าสิ่งที่เขาทำแล้วมันเกิดประโยชน์กับประเทศชาติ สังคมไทย และประชาชนคืออะไร  ก็เลยไม่ได้มองว่าจะต้องไปจับตาดูพิเศษ สิ่งที่เราเห็นคือมีแต่ความแตกแยกและสร้างความสับสนให้สังคมไทย.

 

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

พนัส อดีตสว.-อดีตสสร. คัดเลือกสภาสูง 2567 ฝ่ายประชาธิปไตยมีสิทธิลุ้น

ความเคลื่อนไหวการได้มาซึ่ง"สมาชิกวุฒิสภา"(สว.) ชุดใหม่ ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ล่าสุดที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันอังคารที่ 23 เม.ย.ที่ผ่านมา ได้อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. ....

อย่าใหญ่เกินธรรมชาติ .. พ่อมหาจำเริญ!!

เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธามั่นคงในพระพุทธศาสนา.. ภาวะโลกร้อน (Global warming) .. อันเกิดเนื่องเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ที่กำลังอยู่ใต้ห้วงวิกฤตการณ์อันเนื่องจากการกระทำของคนเรา

“มิจฉาธรรม .. ในอสัตบุรุษที่น่ากลัวยิ่ง”

เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา สงกรานต์ร้อนที่เข้าสู่จุลศักราช ๑๓๘๖ เถลิงศกตรงกับ ๑๖ เมษายน ๒๕๖๗ นับว่าร้อนแล้ง ตรงกับคำพยากรณ์ที่พร้อมเกิดพายุร้อนได้ในทุกพื้นที่ เป็นการแสดงสภาวะผันผวนที่เนื่องมาจากวิกฤตร้อนของโลก (Climate Change) ที่หลายฝ่ายเฝ้าสังเกตการณ์ด้วยความเป็นห่วงว่า มนุษยชาติจะผ่านวิกฤตโลกร้อนไปได้หรือไม่..

สู่.. โครงการพระคืนสู่ป่า น้อมถวายเป็นพระราชกุศลฯ

เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา ในห้วงเวลาที่อากาศร้อนจัด จนเข้าสู่วิกฤตการณ์ โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคอีสานของประเทศ

สู่.. โครงการพระคืนสู่ป่า.. ครั้งที่ ๑/๒๕๖๗!!

เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา.. ในภาวะที่เข้าสู่วิกฤตการณ์โลกร้อน.. ด้วยภาวะการเปลี่ยนแปลงแบบผิดเพี้ยนไปจากธรรมชาติปกติ (Climate Change) อันเป็นผลจากการกระทำของมนุษยชาติ ทั้งในทางตรงและทางอ้อม จึงได้ถือโอกาสคิดทำโครงการนำพระคืนสู่ป่า.. เพื่อศึกษาวงจรธรรมชาติของชีวิตที่เนื่องกับสิ่งแวดล้อม อันประกอบด้วยสรรพสิ่งต่างๆ ที่เกาะเกี่ยวเนื่องกันอย่างมีความสมดุล (Nature Cycle in Balance)

ลัทธิผีบุญ .. ภัยร้ายต่อพระศาสนา!!

เจริญพรสาธุชนผู้มีความศรัทธาในพระพุทธศาสนา.. ปัญหาของพุทธศาสนาในปัจจุบันที่ยังเจริญเติบโตมาจนถึงทุกวันนี้ คือ การยึดถือคำสอนที่ผิดเพี้ยนไปจากพระสัทธรรมดั้งเดิม...