
วันที่ 13 ตุลาคม 2565 นี้ พระราชโองการยุทธศาสตร์ชาติ (พ.ศ. 2561 – 2580) หรือที่เรียกกันว่า ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี จะมีอายุครบ 4 ปี และย่างเข้าสู่ปีที่ 5 ซึ่งกฎหมายกำหนดให้ต้องทำการทบทวนทุก 5 ปี (จริง ๆ แล้วถ้าสถานการณ์โลกหรือของประเทศเปลี่ยนแปลงมากจนเกิดความไม่เหมาะสมที่จะดำเนินการ ก็สามารถแก้ไขก่อนครบกำหนดห้าปีได้) แต่ก่อนที่จะกล่าวถึงสิ่งที่ควรปรับปรุง เราลองมาทบทวนความเป็นมาและเนื้อหาของยุทธศาสตร์ชาติกันสักเล็กน้อย
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ได้เขียนไว้ในมาตรา 65 ว่า “รัฐพึงจัดให้มียุทธศาสตร์ชาติเป็นเป้าหมายการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน …” ต่อมาสภานิติบัญญัติแห่งชาติที่ทำหน้าที่รัฐสภาก็ได้ผ่าน พระราชบัญญัติการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. 2560 ควบคู่กับพระราชบัญญัติแผนและขั้นตอนการดำเนินการปฏิรูปประเทศ พ.ศ. 2560 ในกฎหมายฉบับแรก ได้กำหนดให้มีคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน มีเลขาธิการ สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นกรรมการและเลขานุการ หลังจากนั้นได้มี การแต่งตั้งคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติขึ้นรวม 6 คณะ เพื่อจัดทำยุทธศาสตร์ชาติด้านต่าง ๆ ซึ่งหลังจากดำเนินการและผ่านขั้นตอนตามที่กฎหมายกำหนด ได้มีการประกาศใช้เผยแพร่ ในราชกิจจานุเบกษา เมื่อ 13 ตุลาคม 2561 โดยมีวิสัยทัศน์หลัก คือ “ประเทศไทยมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นประเทศพัฒนาแล้ว ด้วยการพัฒนาตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” เนื้อหาสำคัญ ๆ แบ่งออกเป็น
1.ยุทธศาสตร์ชาติด้านความมั่นคง เนื้อหามุ่งให้ประเทศชาติมั่นคง ประชาชนมีความสุข
2. ยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน เนื้อหาเน้นการ ต่อยอดอดีต ปรับปัจจุบันและสร้างคุณค่าใหม่ในอนาคต
3.ยุทธศาสตร์ชาติด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ เนื้อหาเกี่ยวกับการพยายามทำให้คนไทยเป็นคนดี คนเก่ง สำหรับวิถีชีวิตในศตวรรษที่ 21
4.ยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม เนื้อหากล่าวถึงการสร้างความเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำในทุกมิติ
5. ยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เนื้อหามุ่งการเติบโตที่สมดุลและยั่งยืน
6.ยุทธศาสตร์ชาติด้านการปรับสมดุล และพัฒนาระบบบริหารจัดการภาครัฐ เนื้อหาเน้นการพัฒนาระบบราชการให้ทันสมัย โปร่งใส เป็นภาครัฐของประชาชน เพื่อประชาชน และประโยชน์ส่วนรวม
ยุทธศาสตร์ชาติ คือ กรอบการพัฒนาระยะยาว เพื่อให้ประเทศบรรลุวิสัยทัศน์ ที่ตั้งเป้าหมายเอาไว้ ถือเป็นแผนระดับหนึ่งสูงสุดของประเทศ แผนระดับสองรองลงมา ได้แก่ แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ แผนปฏิรูปประเทศด้านต่าง ๆ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติ ส่วนแผนของกระทรวง กรม จังหวัด ฯลฯ ถือเป็นแผนระดับสาม โดยแผนทุกระดับต้องมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกัน แผนระดับสองและสามล้วนต้องตอบโจทย์หรือเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติทั้งสิ้น
โดยเหตุที่ยุทธศาสตร์ชาติมีสถานะเป็นตัวบทกฎหมาย มีสภาพบังคับและมีบทลงโทษ หากรัฐบาลหรือหน่วยงานของรัฐไม่ปฏิบัติตาม จึงทำให้เมื่อเริ่มประกาศใช้ยุทธศาสตร์ชาติฉบับนี้ เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากพอสมควร โดยเฉพาะจากฝ่ายการเมืองตรงข้ามรัฐบาล
เราคงไม่มาโต้แย้งเหตุผลว่า ควรมีการวางแผนยุทธศาสตร์ระยะยาวสำหรับประเทศหรือไม่ แต่จะขอกล่าวถึงสิ่งที่ควรพิจารณาทบทวนเมื่อเข้าระยะปีที่ห้า ตามที่กฎหมายกำหนด
1.คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ ควรถือโอกาสจัดให้มีเวทีการรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะฝ่ายเอกชน ฝ่ายประชาชน รวมทั้งตัวแทนพรรคการเมืองทั้งหลาย อันอาจนำไปสู่การปรับปรุงแก้ไขเนื้อหาให้ดีกว่าเดิม เกิดความรู้สึกของการมีส่วนร่วมหรือความเป็นเจ้าของร่วมมากกว่าเดิม
2.ควรแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความหลากหลายทั้งความเชี่ยวชาญ อาชีพ อายุ มาร่วมกันทบทวนเนื้อหาสาระของยุทธศาสตร์ชาติเสียใหม่ตามที่กฎหมายได้ให้โอกาสไว้
3.ควรพิจารณาว่ายุทธศาสตร์ชาติฉบับปัจจุบันมีประเด็นยุทธศาสตร์มากเกินไปหรือไม่ เป้าหมายชัดเจนและเป็นสาระสำคัญ (relevant) มากน้อยเพียงใด ควรตัดทอนให้สั้นลง น้อยประเด็นลง แต่มีผลกระทบ (impact) ต่อประเทศมากขึ้น
4.ควรพิจารณาอย่างจริงจังว่า ในห้วงระยะเวลา 4 – 5 ปี ที่ผ่านไป สถานการณ์ของโลกและของประเทศเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยแค่ไหน ทิศทางยุทธศาสตร์ของประเทศควรปรับเปลี่ยนเตรียมตัวรับสถานการณ์ในอีกแต่ละห้วง 5 ปี ข้างหน้าอย่างไร
เวทีพิจารณ์นโยบายสาธารณะ
พงศ์โพยม วาศภูติ
กลุ่มนโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาล

ข่าวที่เกี่ยวข้อง
เรื่องดีดี มิติใหม่การเมือง แก้ไข พรบ.ล้มละลาย ฟื้นฟูหนี้บุคคลธรรมดา
วันที่เขียนต้นฉบับตรงกับวันที่ 14 กันยายน 2568 หลังวันเกิดนายก อนุทิน ชาญวีรกุล หนึ่งวัน เริ่มนับเป็นเรื่องดีดี เรื่องแรก ขอให้ท่านนายกสามารถบริหารคณะรัฐมนตรี นำความเจริญก้าวหน้าอย่างยั่งยืน ความผาสุกสู่ประชาชนอย่างเท่าเทียมตลอดอายุรัฐบาลที่มีเวลา 4 เดือนก่อนยุบสภา นายกรัฐมนตรีได้แถลงต่อสื่อมวลชน
บทเรียนประเทศไทยจากพิษภัยการเมือง
ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีประวัติศาสตร์ทางการเมืองที่ซับซ้อนและเต็มไปด้วยความขัดแย้ง การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในหลายทศวรรษที่ผ่านมาสะท้อนให้เห็นว่าปัญหาการเมืองไทยมิได้เป็นเพียงเรื่องของบุคคล แต่เป็นผลจากโครงสร้าง องค์กร และวัฒนธรรมทางการเมืองที่หยั่งรากลึก นักวิชาการธงชัย วินิจจะกูล (2018) ชี้ว่า วงจรการเมืองไทยมีลักษณะซ้ำซาก ไม่ว่าจะเป็นการทุจริต ความไม่เสมอภาคทางกฎหมาย หรือการแทรกแซงของกลุ่มอำนาจนอกระบบ ซึ่งสร้างความเปราะบางต่อพัฒนาการประชาธิปไตยเป็นอย่างมาก
ประเทศไทย…ต้องไปต่อ (อย่างไร?)
วันนี้ขออนุญาตที่จะไม่กล่าวถึงประเด็นปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์ สงครามและภาษีการค้าแต่ขอเชิญชวนผู้อ่านทุกท่านในฐานะพลเมืองไทยได้ร่วมคิดวิเคราะห์กันว่าในภาพรวมนั้น ประเทศของเรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไรและต้องไปต่อกันด้วยแนวทางใดภายใต้บริบทของระบบสังคมและความเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน
บัญชีวัด: โอกาสและความท้าทายระหว่างทางสู่ความโปร่งใส
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2565 ดิฉันเคยเขียนบทความเรื่อง "จัดระเบียบการเงินวัด เริ่มต้นด้วยการทำบัญชีให้ถูกต้อง" เพื่อชี้ให้เห็นว่าการทำบัญชีวัดไม่ใช่เพียงเรื่องของตัวเลขบนกระดาษ แต่คือเครื่องมือสำคัญในการเสริมสร้างความศรัทธา ความโปร่งใส และธรรมาภิบาลให้แก่องค์กรทางศาสนาที่มีบทบาทอย่างสูงในสังคมไทย บทความดังกล่าวได้รับความสนใจอย่างมาก ทั้งจากฝ่ายสงฆ์ ภาคประชาชน และผู้เกี่ยวข้องในภาครัฐ
การพัฒนาประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางการเงิน : มุมมองด้านการกำกับดูแล
คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2568 เห็นชอบหลักการของร่าง พ.ร.บ. ศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน พ.ศ.......... ผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน (Financial Hub) เพื่อเป็นผู้เล่นสำคัญทางเศรษฐกิจในเวทีโลก และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
วิกฤตประชากรไทย
ขณะนี้ประเทศไทยเกิดปัญหาด้านสังคมโดยเฉพาะด้านประชากร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจำนวนคนไทยที่ลดลง (แต่คนต่างด้าวและแรงงานต่างด้าวเพิ่มขึ้น)


