เก็บภาษีจากคนรวย เพื่อช่วยคนจน

ภาษีความมั่งคั่งเป็นหนึ่งในนโยบายเศรษฐกิจที่พรรคก้าวไกลใช้ในการหาเสียงเลือกตั้งคราวนี้  และน่าจะเป็นนโยบายที่มีโอกาสนำมาใช้จริงหากพรรคก้าวไกลสามารถได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลในที่สุด  ภาษีความมั่งคั่งเป็นภาษีที่เรียกเก็บจากเฉพาะกลุ่มคนที่รวยมาก เพื่อนำรายได้ภาษีไปอุดหนุนโครงการรัฐสวัสดิการต่างๆ เป็นการลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม โดยพรรคก้าวไกลเสนอให้เก็บภาษีในอัตรา 0.5% ของสินทรัพย์สุทธิที่มีค่าเกิน 300 ล้านบาท 

เราจึงควรมาทำความรู้จักกับภาษีความมั่งคั่งให้มากขึ้น โดยดูทั้งข้อดี ข้อเสีย และประสบการณ์จริงของประเทศที่ใช้ภาษีนี้ ก่อนที่จะด่วนตัดสินใจว่าไทยเราควรจะใช้ภาษีนี้หรือไม่อย่างไร

ภาษีความมั่งคั่ง (wealth tax) คือภาษีที่เรียกเก็บจากมูลค่าสุทธิ (net worth) ของแต่ละบุคคล โดยมูลค่าสุทธิคือส่วนต่างระหว่างสินทรัพย์ (assets) และหนี้สิน (liabilities) สินทรัพย์รวมถึงเงินสด เงินฝากในธนาคาร หุ้น พันธบัตร อสังหาริมทรัพย์ และทรัพย์สินส่วนบุคคลอื่นๆ (เช่น ทองคำ พระเครื่อง ศิลปวัตถุ ลิขสิทธิ์ สิทธิบัตร ฯลฯ)  ภาษีความมั่งคั่งจะถูกเก็บเมื่อมูลค่าสุทธิของบุคคลสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด และจะเก็บจากส่วนที่เกินเกณฑ์เท่านั้น  เป้าหมายของภาษีความมั่งคั่งคือการลดความไม่เท่าเทียมกันของรายได้โดยการกระจายความมั่งคั่งจากบุคคลหรือครัวเรือนที่ร่ำรวยที่สุดไปยังส่วนที่เหลือของสังคม

การใช้ภาษีความมั่งคั่งเป็นหัวข้อถกเถียงในหลายประเทศ ผู้สนับสนุนยืนยันว่าเป็นวิธีที่ยุติธรรมในการจัดการกับความเหลื่อมล้ำด้านความมั่งคั่งและสร้างรายได้ให้กับภาครัฐในการลงทุนในโครงการทางสังคม ในขณะที่ฝ่ายตรงข้ามโต้แย้งว่าภาษีนี้อาจกีดกันการลงทุนและการเป็นผู้ประกอบการ (entrepreneurship) และนำไปสู่การโอนย้ายทุนออกนอกประเทศ (capital flight)

บางประเทศ เช่น ฝรั่งเศส สเปน และสวิตเซอร์แลนด์ เคยใช้ภาษีความมั่งคั่งมาก่อน ในขณะที่ประเทศอื่นๆ เช่น สหรัฐอเมริกายังไม่ได้ใช้ แต่ก็เป็นแนวคิดที่ได้รับความนิยมในช่วงไม่กี่ปีมานี้ โดยนักการเมืองบางคนสนับสนุนให้นำไปปฏิบัติเพื่อเป็นทุนสนับสนุนโครงการทางสังคมและลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม ภาษีความมั่งคั่งยังคงเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันและมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันเกี่ยวกับประสิทธิภาพและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นได้ในด้านเศรษฐกิจ

ข้อถกเถียงเกี่ยวกับภาษีความมั่งคั่งชี้ให้เห็นข้อดีและข้อเสียของภาษีนี้ ซึ่งพอสรุปได้ดังนี้:

ข้อดี:

1. การลดความเหลื่อมล้ำของรายได้ : ภาษีความมั่งคั่งสามารถช่วยกระจายความมั่งคั่งจากบุคคลหรือครัวเรือนที่ร่ำรวยที่สุดไปยังส่วนที่ยากจนของสังคม ซึ่งอาจช่วยลดช่องว่างทางรายได้

2. การสร้างรายได้สำหรับโครงการทางเศรษฐกิจและสังคม : ภาษีความมั่งคั่งสามารถสร้างรายได้จำนวนมากที่ภาครัฐสามารถใช้เป็นเงินทุนสำหรับโครงการทางเศรษฐกิจและสังคม เช่น การศึกษา การสาธารณสุข และโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ 

3. ส่งเสริมการบริจาคทรัพย์ : ภาษีความมั่งคั่งสามารถกระตุ้นให้เศรษฐีทั้งหลายบริจาคเงินเพื่อการกุศลมากขึ้น เนื่องจากพวกเขาอาจเลือกบริจาคให้สาธารณประโยชน์ที่ตนสนใจแทนการจ่ายภาษีความมั่งคั่งให้กับรัฐบาล

4. ส่งเสริมการกระจายสินทรัพย์ : ภาษีความมั่งคั่งสามารถกระตุ้นให้บุคคลที่ร่ำรวยกระจายประเภทของสินทรัพย์เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกเก็บภาษีมากเกินไปสำหรับสินทรัพย์ประเภทใดประเภทหนึ่ง

ข้อเสีย:

1. ความซับซ้อนในการบริหาร : การดำเนินการและการบังคับใช้ภาษีความมั่งคั่งอาจมีความซับซ้อน เนื่องจากต้องมีการประเมินโดยละเอียดเกี่ยวกับมูลค่าสินทรัพย์และหนี้สินของแต่ละบุคคล

2. การสร้างอุปสรรคในการลงทุน : ภาษีความมั่งคั่งอาจไม่ส่งเสริมให้เกิดการลงทุนและการเป็นผู้ประกอบการ เนื่องจากอาจลดจำนวนเงินสำหรับการลงทุนลงไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลงทุนในตลาดหุ้น

3. การโยกย้ายเงินทุน : ภาษีความมั่งคั่งอาจนำไปสู่การโยกย้ายเงินทุนออกนอกประเทศ เนื่องจากบุคคลผู้มั่งคั่งอาจย้ายทรัพย์สินของตนไปยังประเทศอื่นที่เก็บภาษีต่ำกว่า

4. ความยากลำบากในการประเมินมูลค่าทรัพย์สิน : การประเมินมูลค่าทรัพย์สิน เช่น อสังหาริมทรัพย์ ศิลปวัตถุ และของสะสม (เช่น พระเครื่อง) อาจเป็นเรื่องยาก ซึ่งอาจนำไปสู่ข้อพิพาทและความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการบังคับใช้ภาษีความมั่งคั่ง

5. ผลกระทบเชิงลบที่อาจมีต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ : นักเศรษฐศาสตร์บางคนโต้แย้งว่าภาษีความมั่งคั่งอาจส่งผลกระทบเชิงลบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยลดแรงจูงใจในการลงทุนและการเป็นผู้ประกอบการ

6. ภาษีซ้ำซ้อน : การเก็บภาษีความมั่งคั่งอาจมองได้ว่าเป็นการเก็บภาษีที่ซ้ำซ้อนกับภาษีอื่นๆ ที่เก็บจากฐานภาษีที่เป็นทรัพย์สินอยู่แล้ว เช่น ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง และภาษีมรดก

โดยสรุปแล้ว ข้อดีและข้อเสียของภาษีความมั่งคั่งยังเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันอยู่ และประสิทธิภาพและความเหมาะสมของภาษีดังกล่าวคงขึ้นอยู่กับบริบทของแต่ละประเทศที่จะนำภาษีนี้ไปใช้

ฝรั่งเศส สเปน และสวิตเซอร์แลนด์ต่างก็เคยใช้ภาษีความมั่งคั่งมาในอดีต โดยมีระดับความสำเร็จและปัญหาที่แตกต่างกันไป

ฝรั่งเศสใช้ภาษีความมั่งคั่งหรือที่เรียกว่า Impôt de solidarité sur la fortune (ISF) ในปี พ.ศ. 2532 ภาษีนี้ใช้กับบุคคลที่มีมูลค่าสุทธิสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดและมีวัตถุประสงค์เพื่อลดความไม่เท่าเทียมกันของรายได้ อย่างไรก็ตาม ภาษีนี้ถูกวิจารณ์ว่าซับซ้อนเกินไปและกีดกันการลงทุน ในปี พ.ศ. 2560 รัฐบาลฝรั่งเศสยกเลิก ISF และแทนที่ด้วยภาษีทรัพย์สิน (เฉพาะที่เป็นอสังหาริมทรัพย์) โดยให้เหตุผลว่าภาษีใหม่จะยังคงสร้างรายได้ให้กับรัฐบาลในขณะที่ลดภาระภาษีให้กับคนรวย  อัตราภาษีทรัพย์สินนี้เก็บในอัตราระหว่าง 0.5% – 1.5% ของมูลค่าสุทธิที่เกิน 1.3 ล้านยูโร (ประมาณ 50 ล้านบาท) ในปี 2561

สเปนเคยใช้ภาษีความมั่งคั่งที่เรียกว่า Impuesto sobre el Patrimonio ในปี พ.ศ. 2520  ภาษีนี้ถูกยกเลิกในปี พ.ศ. 2551 แต่ถูกนำมาใช้อีกครั้งในปี พ.ศ. 2553 เพื่อเป็นมาตรการชั่วคราวในการแก้ไขวิกฤตเศรษฐกิจของประเทศ ภาษีนี้ใช้กับบุคคลที่มีมูลค่าสุทธิสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดและสามารถสร้างรายได้จำนวนมากให้กับรัฐบาลสเปน อย่างไรก็ตาม ยังมีผู้วิพากษ์วิจารณ์ว่าภาษีมีความซับซ้อนและอาจไม่จูงใจให้เกิดการลงทุนเท่าที่ควร

สวิตเซอร์แลนด์มีภาษีความมั่งคั่งที่เรียกว่า Vermögenssteuer ซึ่งใช้มาหลายปีแล้ว โดยใช้กับบุคคลที่มีมูลค่าสุทธิสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด และได้รับการประเมินในระดับรัฐ ภาษีนี้เป็นที่ถกเถียงกันในสวิตเซอร์แลนด์ โดยบางคนโต้แย้งว่าภาษีดังกล่าวกีดกันการลงทุนและการเป็นผู้ประกอบการ อย่างไรก็ตาม หลายคนเชื่อว่าภาษีไม่ได้ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศ และเป็นแหล่งรายได้ให้กับโครงการทางสังคมที่สำคัญ โดยภาษีนี้สร้างรายได้ให้ภาครัฐได้มากถึง 1% ของ GDP ในปี 2563 จากการเก็บภาษีในอัตราระหว่าง 1.3% -10.1% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิเกิน 1 ล้านสวิสฟรังค์ (ประมาณ 38 ล้านบาท) 

โดยรวมแล้ว ประสบการณ์การใช้ภาษีความมั่งคั่งในฝรั่งเศส สเปน และสวิตเซอร์แลนด์ชี้ให้เห็นทั้งความสำเร็จและความล้มเหลว แม้ว่าภาษีจะสร้างรายได้ให้ภาครัฐและช่วยแก้ปัญหาความไม่เท่าเทียมกันของรายได้ในบางกรณี แต่ก็ถูกวิจารณ์ว่าสลับซับซ้อนเกินไปและอาจทำให้แรงจูงใจในการลงทุนในประเทศลดลง

เป็นที่น่าสังเกตว่า ยังไม่มีประเทศกำลังพัฒนาที่ใช้ภาษีความมั่งคั่งนี้เลย อาจเป็นเพราะประเทศเหล่านี้มีข้อจำกัดในการบริหารจัดการใช้บังคับภาษีประเภทที่มีความยุ่งยากในทางปฏิบัติ อีกทั้งประเทศกำลังพัฒนาส่วนใหญ่มีจำนวนคนรวยไม่มาก ทำให้มี “ฐานภาษี” ที่จำกัดซึ่งจะทำให้รายได้จากภาษีไม่มากพอและไม่คุ้มกับต้นทุนในการจัดเก็บภาษี ……. หรือประเทศไทยจะแตกต่างจากประเทศกำลังพัฒนาอื่น?

เวทีพิจารณ์นโยบายสาธารณะ
ดร พรายพล คุ้มทรัพย์
กลุ่มนโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาล

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

เหล็กไทยสู้ภัย CBAM ในยุโรป

ปีนี้โลกเราร้อนจริงๆ เราได้ยินข่าวเกี่ยวกับคลื่นความร้อน ไฟป่า และความผันผวนในภูมิอากาศในหลายประเทศทั่วโลก ทั้งในอเมริกา ยุโรป แอฟริกา และเอเชีย เกิดขึ้นบ่อยๆ และมีความรุนแรงมาก เลขาธิการสหประชาชาติถึงกับเอ่ยปากว่า นี่ไม่ใช่ภาวะโลกร้อน (global warming) แต่มันกลายเป็นภาวะโลกเดือด (global broiling) ไปแล้ว

เศรษฐกิจมีปัญหา ปุจฉาพรรคการเมือง

ช่วงนี้เป็นฤดูกาลหาเสียงเลือกตั้งของพรรคการเมืองต่างๆ เราจึงควรรู้ว่ามีประเด็นนโยบายอะไรบ้างที่นักการเมืองเมื่อได้รับการเลือกตั้งจะเข้ามาแก้ไขปัญหาให้ประเทศชาติ นโยบายที่สำคัญประการหนึ่งก็คือนโยบายเศรษฐกิจ ซึ่งมีผลต่อปากท้องของประชาชน

พลิกวิฤติน้ำมันแพงให้เป็นโอกาส

ราคาน้ำมันดิบที่แพงขึ้นมากตั้งแต่ต้นปีนี้ได้สร้างความเดือดร้อนอย่างแสนสาหัสมาให้กับหลายประเทศที่ต้องอาศัยน้ำมันนำเข้า รวมถึงประเทศไทยที่ต้องนำเข้าน้ำมันมากถึง 90% ของปริมาณการใช้ทั้งหมด

กำไรโรงกลั่นดันน้ำมันแพง

ในช่วงสามปีที่ผ่านมา โลกช่างโหดร้ายเสียเหลือเกิน มนุษย์ต้องเผชิญกับไวรัสตัวใหม่ชื่อ โควิด-19 ทำเอาทั่วโลกต้องเจ็บป่วยและเสียชีวิตเป็นจำนวนนับล้านคน เศรษฐกิจโลกได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงทั่วไปหมด การล๊อคดาวน์เพื่อระงับโรคระบาดก่อให้เกิดการว่างงานและความยากจนอย่างกว้างขวาง

น้ำมันแพงเพราะแรงสงคราม

ในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา ข่าวดังทั่วโลกเห็นจะไม่มีใครเกินข่าวเกี่ยวกับสงครามที่รัสเซียบุกยูเครน มีคำถามยอดฮิตที่สื่อมวลชนชอบถามผมเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่าสงครามในยูเครนทำให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกแพงได้อย่างไร ผมจึงขอตอบคำถามในบทความนี้ พร้อมทั้งจะตอบคำถามที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมอีก 1 - 2 ข้อ

ขยับเพดานหนี้ อีกสิบปีก็ลดไม่ได้

เมื่อวันที่ 4 มิถุนายนของปีที่แล้ว ผมเขียนบทความเรื่อง “เงินกู้สู้โควิด ช่วยกันคิดให้รอบคอบ” ลงในหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ โดยได้แสดงความห่วงใยในภาระการเงินการคลังของภาครัฐที่จะพุ่งสูงขึ้นอย่างมากมายจากการใช้เงินของรัฐบาลในการเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจอันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของโควิด-19