
วันนี้ขออนุญาตที่จะไม่กล่าวถึงประเด็นปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์ สงครามและภาษีการค้าแต่ขอเชิญชวนผู้อ่านทุกท่านในฐานะพลเมืองไทยได้ร่วมคิดวิเคราะห์กันว่าในภาพรวมนั้น ประเทศของเรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไรและต้องไปต่อกันด้วยแนวทางใดภายใต้บริบทของระบบสังคมและความเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน
ในทางวิชาการด้านสังคมศาสตร์ ระบบสังคม (Social System) ถือเป็นระบบใหญ่ที่สุด โดยสามารถแบ่งออกเป็นระบบย่อยหลายระบบที่มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกันอย่างมีนัยสำคัญ กล่าวคือมีการแยกออกเป็น ระบบครอบครัว ระบบการศึกษา ระบบสาธารณสุข ระบบการเมือง กฎหมายและเศรษฐกิจ รวมถึงระบบความเชื่อและศาสนา ซึ่งถ้าระบบใดอ่อนแอ สั่นคลอนหรือล้มเหลวแล้วจะส่งผลกระทบต่อระบบอื่นๆอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และหากไม่มีการแก้ไขได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลตามสมควรแล้ว อนาคตของชาติจะตกอยู่ในสถานภาพบนเส้นด้ายระหว่างรัฐที่ขาดความไว้เนื้อเชื่อใจ (Distrusted State) ไปสู่รัฐล้มเหลว (Failed State) เช่นบางประเทศในกลุ่มลาตินอเมริกาได้
ความอ่อนแอของระบบย่อยที่เห็นได้ชัดเจนคือระบบครอบครัวและระบบการศึกษาของประเทศที่กลายเป็นระเบิดลูกใหญ่ที่พร้อมจะทำลายล้างระบบอื่นๆโดยเฉพาะส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศที่หยุดหรือชะลอการเติบโตมานานนับเป็นสิบปี ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่มีมากกว่า 1.62 ล้านล้านบาท เด็กๆที่หลุดออกจากระบบการศึกษานับล้านคน การปฏิรูปต่างๆที่ล้มเหลวเป็นส่วนหนึ่งของการถดถอยในความสามารถของการแข่งขัน (Competitiveness) กับนานาประเทศหรือแม้แต่ในกลุ่มประเทศอาเซียนด้วยกันเช่นเวียตนาม อินโดนีเซีย หรือฟิลิปปินส์ เป็นต้น
แต่หากทุกภาคส่วนเห็นตรงกันว่าประเทศต้องไปต่อแล้ว การแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างถือเป็นปัจจัยสำคัญ ที่ประชาชนคนไทยทุกคน ทุกภาคส่วนต้องลุกขึ้นมาและร่วมมือร่วมใจกันแก้ไข เช่นหนี้ภาคครัวเรือน หนี้ครู หรือหนี้เกษตรกรตลอดจนหนี้สินของธุรกิจเอสเอ็มอี เป็นต้น
ขอยกตัวแบบหรือวิธิการหนึ่งของท่านอาจารย์คุณหมอประเวศ วะสี ผู้เป็นราษฎรอาวุโสและบุคคลต้นแบบที่นำเสนอการใช้ “สามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขา”เพื่อนำนโยบายอันเกิดจากประชาชนสู่การออกนโยบายหรือกฎหมายเพื่อขับเคลื่อนประเทศโดยการจะสร้างคานงัดขึ้นมาได้นั้นต้องเริ่มจาก (1) การให้ความรู้แก่ประชาชน(2) เพื่อสร้างแรงกระเพื่อมในสังคมสู่ (3) การเปลี่ยนแปลงนโยบายหรือกฎหมายของรัฐ ดังนั้น ปัจจัยสำคัญที่สุดคือการสร้างฐานความรู้ให้กับประชาชนแบบประชิดตัวและเป็นการเฉพาะตรงจุดโดยเฉพาะกลุ่มฐานรากในหลากหลายบริบทที่ถือเป็นกระดูกสันหลังของประเทศ เช่นการนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง สามห่วงสองเงื่อนไขมาเป็นเข็มทิศในการดำรงชีวิต หรือแนวทางสัมมาชีพที่ต้องไม่เบียดเบียนตนเอง ผู้อื่นหรือสิ่งแวดล้อมรอบตัวและที่สำคัญคือต้องมีรายรับมากกว่ารายจ่าย ซึ่งรัฐบาลหลายรัฐบาลที่นำนโยบายประชานิยมมาใช้ก็เข้าใจแล้วว่าความพยายามที่จะแก้ไขปัญหาหนึ่งย่อมอาจก่อให้เกิดอีกปัญหาหนึ่งที่ใหญ่กว่าได้คือหนี้สาธารณะของประเทศ (Public Debt) ที่ปัจจุบันอยู่ในภาวะการเฝ้าระวังและมีแนวโน้มสูงเกิน 70% ต่อจีดีพีในอีก 2-3 ปีข้างหน้าซึ่งหมายถึงการที่ประเทศอาจถูกลดความน่าเชื่อถือจากการถูกประเมิน (Credit rating) ส่งผลต่อการลงทุนทางตรง (Foreign Direct Investment) ไม่รวมถึงการที่ประเทศขาดการผลิตสินค้าและบริการที่เป็นนวัตกรรม หมายถึงการผลิตสินค้าที่โลกไม่ต้องการแล้ว
ผู้เขียนเชื่อมั่นว่าการมีส่วนร่วมของประชาชนคนไทยทุกคน ทุกภาคส่วน (Public Participation) ถือเป็นปัจจัยและเงื่อนไขสำคัญที่จะนำพาประเทศผ่านพ้นอุปสรรคและความท้าทายต่างๆได้ รัฐบาลเองก็ควรต้องเปิดใจรับฟังและแก้ไขปัญหาให้ตรงจุดอย่างเป็นระบบ (Systematic Approach) รวมถึงการพัฒนาสู่การเป็นรัฐโปร่งใส (Transparency) มีการเปิดเผยข้อมูลและให้ประชาชนเข้าถึงได้อย่างเต็มที่ (Open Data) ซึ่งมีตัวอย่างให้เห็นในประเทศซึ่งเคยตกอยู่ในการปกครองของสหภาพโซเวียตคือประเทศเอสโตเนียได้เผชิญมาแล้ว แต่เอสโตเนียสามารถพลิกประเทศจากความยากจนสู่ความเป็นประเทศดิจิทัล (Digital Nation) ได้ภายในระยะเวลา 20 ปี ด้วยความมีวิสัยทัศน์ของผู้นำและการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนอย่างเป็นระบบ
ถึงเวลาแล้วที่ประชาชนคนไทยทุกคนไม่ว่าจะเป็นคนตัวใหญ่หรือคนตัวเล็กต้องไม่นิ่งเฉย เพราะประเทศเป็นบ้านเป็นครอบครัวของเราทุกคนที่ต้องร่วมกันดูแลรักษา และร่วมใจแก้ไขอุปสรรคและความท้าทายต่างๆไปด้วยกันจึงจะเกิดผลสำเร็จได้จริงไม่มากก็น้อย
ประเทศไทยต้องไปต่อด้วยการมีส่วนร่วมและความรัก ความสามัคคีของคนไทยทุกคน
คอลัมน์ พิจารณ์นโยบายสาธารณะ กลุ่มนโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาล
เทวัญ อุทัยวัฒน์
กลุ่มนโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาล
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
มหากาพย์เรื่อง 'ล้างไตฟรี' ในระบบบัตรทอง
นโยบายให้ฟอกเลือดทางช่องท้องก่อน (Peritoneal Dialysis First) หรือ (PD First) มีผู้เห็นต่างมาตั้งแต่ต้น ทั้งฝั่งผู้ป่วยและผู้ให้บริการ โดยผู้ป่วยและ “ผู้นำ” ในภาคประชาชนบางคน เชื่อใน “สิทธิในการเลือก” หรือ “การเลือกอย่างเสรี” (Free choice) โดยหลักการเคารพสิทธิผู้ป่วย และ “เชื่อโดยสุจริต” ว่า ผู้ป่วยสามารถ “เลือกได้อย่างฉลาด”
เรื่องดีดี มิติใหม่การเมือง แก้ไข พรบ.ล้มละลาย ฟื้นฟูหนี้บุคคลธรรมดา
วันที่เขียนต้นฉบับตรงกับวันที่ 14 กันยายน 2568 หลังวันเกิดนายก อนุทิน ชาญวีรกุล หนึ่งวัน เริ่มนับเป็นเรื่องดีดี เรื่องแรก ขอให้ท่านนายกสามารถบริหารคณะรัฐมนตรี นำความเจริญก้าวหน้าอย่างยั่งยืน ความผาสุกสู่ประชาชนอย่างเท่าเทียมตลอดอายุรัฐบาลที่มีเวลา 4 เดือนก่อนยุบสภา นายกรัฐมนตรีได้แถลงต่อสื่อมวลชน
บัญชีวัด: โอกาสและความท้าทายระหว่างทางสู่ความโปร่งใส
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2565 ดิฉันเคยเขียนบทความเรื่อง "จัดระเบียบการเงินวัด เริ่มต้นด้วยการทำบัญชีให้ถูกต้อง" เพื่อชี้ให้เห็นว่าการทำบัญชีวัดไม่ใช่เพียงเรื่องของตัวเลขบนกระดาษ แต่คือเครื่องมือสำคัญในการเสริมสร้างความศรัทธา ความโปร่งใส และธรรมาภิบาลให้แก่องค์กรทางศาสนาที่มีบทบาทอย่างสูงในสังคมไทย บทความดังกล่าวได้รับความสนใจอย่างมาก ทั้งจากฝ่ายสงฆ์ ภาคประชาชน และผู้เกี่ยวข้องในภาครัฐ
การพัฒนาประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางการเงิน : มุมมองด้านการกำกับดูแล
คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2568 เห็นชอบหลักการของร่าง พ.ร.บ. ศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน พ.ศ.......... ผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน (Financial Hub) เพื่อเป็นผู้เล่นสำคัญทางเศรษฐกิจในเวทีโลก และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
ปีแห่งความร่วมมือ ร่วมใจในการพัฒนาสังคมไทยสู่ความเสมอภาค
ผู้อ่านหลายท่านน่าจะเห็นตรงกันว่าปีพ.ศ. 2567 ที่ผ่านมานั้น ประเทศไทยได้เผชิญกับความ ท้าทายหลายประการท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลก ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ ผลการเลือกตั้งในสหรัฐอเมริกาภายใต้นโยบาย Trump 2.0 ที่จะทำให้สงครามทางการค้าเข้มข้นมากขึ้นและประเทศไทยย่อมจะได้รับผลกระทบหลายประการอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ความไม่เสมอภาคทางเศรษฐกิจ-มองต่างมุม
เมื่อต้นปี 2567 มีหนังสือตีพิมพ์ใหม่เล่มหนึ่ง ชื่อ The Trading Game: A Confession ผู้เขียน คือ Gary Stevenson ได้รับความชมชอบจากผู้อ่าน (4.2 ดาว จาก website Goodreads) และมีการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางในสื่อสังคมออนไลน์อยู่ 2 ประเด็นว่า ผู้เขียนโอ้อวดเกินจริงว่าตนเป็นนักค้าเงินอันดับหนึ่งของโลก และอีกประเด็นในเรื่องแนวความคิดเกี่ยวกับความไม่เสมอภาคทางเศรษฐกิจที่ผู้เขียนมองว่า เป็นแนวความคิดใหม่ที่นักเศรษฐศาสตร์มองไม่เห็นมาโดยตลอด


