ไทยในสายตาต่างชาติ: สมัยรัชกาลที่เจ็ด (ตอนที่ 18: การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 ในสายตาผู้ช่วยทูตทหารฝรั่งเศส)

 

(ต่อจากตอนที่แล้ว) ในรายงานลงวันที่ 24 กันยายน 1932  (พ.ศ. 2475)   ของพันโท อองรี รูซ์ ผู้ช่วยทูตทหารบกและทหารเรือประจำสยาม ประจำสถานอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำสยาม มีความว่า

รัฐบาล ตั้งแต่เดือนที่แล้วเป็นต้นมา สถานะของรัฐบาลก็ยังไม่มั่นคง มีความแตกแยกภายในสภาผู้แทนราษฎร การอภิปรายเป็นไปอย่างตึงเครียดและเกิดการแบ่งแยกเป็นกลุ่ม

1. กลุ่มพระยาพหลพลพยุหเสนา-พระยามโนปกรณ์นิติธาดา เป็นกลุ่มที่ทำรัฐประหาร แต่ถึงอย่างนั้นก็เป็นกลุ่มอนุรักษ์นิยม

2. กลุ่มพระยาราชวังสัน หัวหน้ากลุ่มนี้เพิ่งเดินทางกลับมายังสยามเมื่อ 2 เดือนก่อน หลังจากการประชุมที่กรุงเจนีวา  เขาได้รับแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมทันที และเพิ่งได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ดูเหมือนว่าพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวจะทรงตั้งความหวังไว้กับเขาอย่างยิ่ง แต่ขณะนี้ พระยาราชวังสัน ผู้มีพี่ชายเป็นคอมมิวนิสต์ตัวยง ดูเหมือนจะทำงานเพื่อประโยชน์ส่วนตน 

3. กลุ่มที่น่าจะมีพระยาอธิกรณ์ประกาศ อดีตผู้บัญชาการตำรวจ เป็นหัวหน้าลับๆ กลุ่มนี้น่าจะได้รับการสนับสนุนจากกรมพระนครสวรรค์วรพินิต ซึ่งไม่น่าจะเพียงพอ แต่คงมาจากเหล่าพ่อค้าชาวจีนที่ร่ำรวยด้วย (พระยาอธิกรณ์ประกาศมีเชื้อสายจีน) ทำให้เรื่องนี้จริงจังมากขึ้น

4. กลุ่มหลวงประดิษฐ์มูนธรรม-พระยาทรงสุรเดช กลุ่มนี้เป็นพวกหัวก้าวหน้ามากและเอนเอียงสู่ความเป็นคอมมิวนิสต์อย่างแน่วแน่ และกลุ่มนี้เองที่จุดประกายให้เกิดบทความตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ศรีกรุง ที่เป็นของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรคนหนึ่ง เป็นองค์กรกึ่งทางการของรัฐบาลชุดใหม่ที่สนับสนุนให้นำวิธีการแบบรัสเซียมาใช้ในสยาม (อ้างอิง จากรายงานสื่อสิ่งพิมพ์ฉบับที่ 32 หน้า 8)

ดูเหมือนในสถานการณ์เช่นนี้ กลุ่มของหลวงประดิษฐ์มนูธรรมจะขยายอิทธิพลออกไปทุกขณะ และจะกลายเป็นกลุ่มที่อันตรายภายในเวลาอันรวดเร็วไม่เพียงต่อสยามเท่านั้น แต่ต่อประเทศเพื่อนบ้านด้วย ถ้าไม่มีอะไรมาหยุดยั้งกิจกรรมต่างๆของพวกเขาไว้ในวันข้างหน้า  แต่โชคร้ายที่เรายังมองไม่เห็นว่าปฏิกิริยาต่อต้านจะมาจากทางไหน

สามเดือนมาแล้วที่ทั้งกองทัพ ข้าราชการ ประชาชนทั่วไป และคนที่ถูกปลดจากตำแหน่งจำนวนมาก ต่างก็เฉื่อยชาลงในท้ายที่สุด อย่างที่เราชาวยุโรปแทบไม่เข้าใจ  ดูเหมือนสิ่งที่ปรากฏให้เห็นคือ การยอมจำนนเต็มรูปแบบตามปรัชญาศาสนาพุทธ

เมื่อสองเดือนที่แล้ว หลายคนนึกถึงพลเอก พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช และมองว่าพระองค์จะกลายเป็นผู้นำเผด็จการในวันข้างหน้า ปรากฏว่า การไม่ปรากฎพระองค์ทำให้ทรงสูญเสียสถานะลงไปทีละเล็กละน้อยทุกวัน พระองค์ไม่ได้แสดงบทบาทแบบเผด็จการตามที่ควรจะเป็นและเกือบถูกลืมเสียด้วยซ้ำ

รัฐบาลชุดใหม่เอง  นอกจากนำขบวนรถหุ้มเกราะติดปืนกลมาร่วมฉาก และใช้ถ้อยคำรุนแรงในหนังสือกราบบังคมทูล ต่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน ก็ดูจะไม่มีแสนยานุภาพอันใดอีก

เมื่อสองสามวันที่แล้ว รัฐบาลยกเลิกการใช้รถถังคุมสถานการณ์บริเวณสี่แยกที่มุ่งหน้าไปยังที่ทำการของคณะราษฎร นี่ไม่ใช่เพราะรัฐบาลรู้สึกมั่นใจมากขึ้นแล้ว แต่เพราะการใช้รถถังคุมสถานการณ์เป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์  ในทางกลับกัน รัฐบาลเพิ่งสั่งซื้อรถบรรทุกจำนวน 60 คันเพื่อใช้ขนปืนกล มี 13 คันมาประจำการอยู่ที่นี่ ซึ่งในจำนวนนี้มียี่ห้อซีตรอง 2 คัน อีก 7 คันยังมาไม่ถึง  และอีก 40 คันสั่งมาจากสหรัฐอเมริกา     

นอกจากนี้ รัฐบาลยังสั่งปิดหนังสือพิมพ์ภาษาสยาม 5 ฉบับ  ซึ่งถึงอย่างไร ก็ไม่อาจนับว่าเป็นความสามารถของรัฐบาล แต่รัฐบาลเสียเวลาไปกับการถกเถียง การปฏิรูปที่ไม่มีความหมาย และการสัญญาว่าจะทำให้ประชาชนมีความสุข ซึ่งไม่แน่ใจว่าจะทำได้จริงหรือไม่ โดยเฉพาะในบรรดาคณาจารย์ เกิดความขัดแย้งกันรุนแรง อธิการบดีมหาวิทยาลัยจำเป็นต้องลาออก เนื่องจากมีการชุมนุมหลายครั้งเพื่อเรียกร้องให้เขาลาออก เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี ประธานสภาผู้แทนราษฎร ต้องเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงธรรมการเพื่อให้เกิดความสงบ แต่เมื่อสมาคมครูก่อตั้งขึ้น จึงเสี่ยงที่จะควบคุมไม่ไหวในอีกไม่ช้า อีกประการหนึ่ง สมาคมครูดังกล่าว ซึ่งว่ากันตามนิยามแล้ว ประกอบด้วยปัญญาชนหัวก้าวหน้ามากๆ และดูเหมือนต้องการดำเนินกิจกรรมทางการเมืองนอกกรอบการเมืองของรัฐบาล  แต่ในเรื่องนี้ ดูจะเป็นความคิดเชิงทำลายมากกว่าสร้างสรรค์

เมื่อสองสามวันก่อน ชาวจีนคนหนึ่งที่ขายระเบิด ‘อานุภาพทำลายล้างสูง’ ถูกจับกุม วันนั้น พบลูกระเบิดถึง 20 ลูก โดยขายลูกละ 8 บาท เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ

สองสามวันก่อนนั้น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรคนหนึ่งตั้งคำถามต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเรื่องการรวมตัวของกองทหารอังกฤษที่สิงคโปร์  ท่านรัฐมนตรีจำเป็นต้องปฏิเสธข้อเท็จจริงอย่างเป็นทางการ

เมื่อวันเสาร์ที่แล้ว มีข่าวการระดมพลในอินโดจีนอีก และมีการสอบถามเรื่องนี้อย่างไม่เป็นทางการกับสถานอัครราชทูตฝรั่งเศส ดูเหมือนว่า ในระหว่างนั้น เรือฝรั่งเศส 5 ลำ และเรืออังกฤษ 3 ลำ แล่นสวนกันบริเวณปากแม่น้ำเจ้าพระยา

ส่วนวันจันทร์ที่ผ่านมา นายพีเจน (M. Pegen) บรรณาธิการของหนังสือพิมพ์สยามออบเซอร์เวอร์ (Siam Observer) มาถามข้าพเจ้าว่า จริงหรือไม่ที่ชาวฝรั่งเศสทุกคนในบางกอกถูกเรียกระดมพล ข่าวลือเหล่านี้ดูจะไม่สมจริงนัก แต่ก็สมควรต้องรายงาน เพราะต้นตอของข่าวนี้ไม่น่าจะมาจากประชาชนที่เฉยเมยอย่างที่สุด แต่ต้องมาจาจากแวดวงของรัฐบาลเอง

ดูเหมือนว่า รัฐบาลชุดใหม่มีความตั้งใจจริงมากกว่าความสามารถ บางครั้งมีความตั้งใจอย่างมากที่จะทำความดี ด้วยเหตุนี้ จึงดูเหมือนรัฐบาลตัดสินใจที่จะไม่สั่งสินค้าจากบริษัทแบร์โรว์ โบรน (Barrow-Braun) ของอังกฤษแล้ว  บริษัทนี้ก็ดูจะติดสินบนเพื่อให้ได้รับคำสั่งซื้อสินค้าจากรัฐบาลชุดเก่ามากเกินไป เรื่องนี้จำเป็นต้องยุติลง บริษัทจะปฏิบัติงานต่อจนหมดสัญญา แต่จะไม่มีการต่อสัญญาใหม่อีก (บริษัทนี้เป็นผู้เจรจาซื้อขายยุทโธปกรณ์ต่างๆของบริษัทฝรั่งเศสชื่อเอ็ดการ์ บรันดต์ (Edgar Brandt) ให้กองทัพสยาม)

ค่าเงินบาทตกต่ำ  สามอาทิตย์มาแล้วที่มีข่าวลือหนาหูเรื่องค่าเงินบาทอ่อนตัวลงครั้งใหม่ เวลานี้คงตัวอยู่ที่ 11 บาทต่อ 1 ปอนด์สเตอร์ลิง อาทิตย์ที่แล้ว ธนาคารต่างๆพากันแลกเปลี่ยนเงินบาทเป็นเงินตราต่างประเทศเป็นจำนวนมากๆ 

ในเอกสารราชการตีพิมพ์เมื่อวันที่ 19 เดือนที่แล้ว รัฐบาลออกแถลงการณ์ปฏิเสธ ‘ข่าวลือที่เกิดขึ้น’ แต่ไม่ได้ปฏิเสธว่า ต้องนำปัญหาเรื่องค่าเงินบาทตกต่ำครั้งใหม่มาพิจารณาอย่างจริงจังอีกครั้ง  บางคนพูดว่า ชาวสยามไม่กล้าทำอะไรก่อนที่ที่ปรึกษาชาวอังกฤษคนใหม่จะมาถึงในอีกไม่กี่สัปดาห์นี้ แต่อีกพวกกลับพูดในทางตรงกันข้ามว่า พวกเขาอยากจะจัดการให้สิ่งที่เป็นอยู่นี้สำเร็จลุล่วงไปได้  ถ้าเป็นอย่างที่ผู้คนพูดกันว่า เก็บภาษีได้น้อย และถ้าเงินในท้องพระคลังใกล้จะหมด ค่าเงินบาทตกต่ำก็มีความเป็นไปได้มาก  ก่อนจะนำเงินเก็บที่เป็นเงินตราต่างประเทศออกมาใช้เป็นวิธีการสุดท้าย รัฐบาลอาจตัดสินใจลดค่าเงินบาทเพื่อเพิ่มจำนวนเงินบาทที่จะได้จากเงินตราต่างประเทศเหล่านี้ มาตรการนี้น่าสนใจอย่างยิ่ง สยามที่พึ่งพาตัวเองเป็นหลักจะหลีกเลี่ยงผลกระทบจากการลดค่าเงินบาทและความมั่งคั่งชนิดชั่วคราวแต่มีอยู่จริงไม่ได้ ซึ่งประชาชนจะรับรู้ถึงผลกระทบเหล่านี้ได้ก็แต่ในระยะยาว ฉะนั้น สิ่งที่รัฐบาลอยากทำในขณะนี้คือ การซื้อเวลา

ท้ายที่สุด เรื่องนี้อาจมีวิธีการทางอ้อมอย่างอื่นและเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพไม่น้อยเช่นกันคือ การให้ที่ปรึกษาชาวต่างชาติจำนวนหนึ่งลาออกด้วยความสมัครใจ  จ่ายเงินให้เป็นเงินบาทโดยไม่ชดเชยส่วนต่างที่สูญไปจากอัตราการแลกเปลี่ยน และความเป็นไปได้นี้คงทำให้ปัญญาชนสยามจำนวนหนึ่งพอใจ (ข้าพเจ้าเคยกล่าวไว้ในรายงานฉบับที่ 23/A ลงวันที่ 1 กรกฎาคม หน้า 13 ว่า การลดค่าเงินบาทเป็นวิธีที่ชาวสยามจำนวนหนึ่งคิดจะนำมาใช้เพื่อจัดการกับที่ปรึกษาชาวต่างชาติ)

อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นเรื่องภายในของสยาม มาตรการนี้ก็ทำให้เราอยู่เฉยๆไม่ได้ นอกจากเราจะได้รับผลกระทบทั้งการสูญเสียสถานะและอิทธิพลแล้ว แต่ยังเผชิญภาวะขาดดุลจากการลดค่าเงินบาทเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคมที่ผ่านมาในตลาดค้าข้าวด้วย และจะทำให้ตลาดค้าข้าวของโคชินจีนทั้งหมดได้รับผลกระทบอย่างมากจากเรื่องนี้”

(โปรดติดตามตอนต่อไป)

(พันโท อองรี รูซ์มีความสามารถทางด้านภาษา สามารถพูดได้หลายภาษา ได้แก่ เยอรมัน สเปน ลาว เวียดนาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาษาไทย.   ข้อความทั้งหมดในส่วนของนายพันโท อองรี รูซ์ ข้างต้น มาจาก การปฏิวัติสยาม ๒๔๗๕ ในทัศนะของพันโท อองรี รูซ์, Henri Roux เขียน พิมพ์พลอย ปากเพรียว แปล, (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มติชน: 2564) หน้า 138-139, 141, 144-145).

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'ศิริกัญญา' มอง 'ขุนคลังคนใหม่' ทำงานได้เต็มที่ ไม่ต้องแบ่งเวลามาเป็นเซลส์แมนประเทศ

น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.)ในส่วนของกระทรวงการคลัง ว่า ปรากฎว่ามีรัฐมนตรีในกระทรวงการคลังถึง 4 คน ซึ่งน่าจะมากที่สุดในประวัติศาสตร์ อันที่จริงกรมในกระทรวงก็มีไม่ได้มากคงแบ่งกันดูแลคนละกรมครึ่ง

ความเป็นมาของรัฐธรรมนูญฉบับที่ 4 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490 (ตอนที่ 8)

รัฐธรรมนูญฉบับที่ 4 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490 ประกาศใช้เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490

'อรรถกร' รับกรอกประวัติแล้ว แต่ไม่รู้นั่ง รมช.เกษตรฯ มั่นใจ 'ธรรมนัส' ให้คำปรึกษาได้

นายอรรถกร ศิริลัทธยากร ส.ส.ฉะเชิงเทรา พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เปิดเผยถึงกระแสข่าวถูกส่งชื่อเสนอเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ครั้งนี้ ว่า ตนไม่ทราบ แต่ว่าได้มีการกรอกประวัติไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ตนพร้อมทำหน้าที่