ด้วย 'ถุงพระราชทาน'

วันนี้ ๑ สิงหาคม ก็เข้าเดือนที่ ๘ ของปี ๖๕ แล้ว 

ศุกร์ที่ ๑๒ สิงหาที่จะถึง

เป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษา "สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง"

เมื่อวาน ก็ไปซื้อธงมาติดหน้าบ้านเรียบร้อย ด้วยระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของ "สมเด็จพระพันปีหลวง" อันไม่เคยคลายจาง

คนรุ่นใหม่ อาจไม่เคยได้ยินคำว่า "อีสานแล้ง" เพราะทุกวันนี้ อีสานไม่มีแล้งให้เห็นแล้ว หากแต่เป็น "อีสานเมืองต้นแบบ" วัฒนธรรมแข็ง-ขันแข่งทางพัฒนา

ใกล้เป็น "กรุงเทพฯ แห่งที่ ๒" รำไร!

"เหนือสุด" ของไทยก็เช่นกัน ธรรมชาติด้วยป่า เขา ลำเนาไพรดำรงอยู่ ทำให้ "ต้นน้ำ" ยังคงมีน้ำรินไหล

ก่อเกิดแม่น้ำหล่อเลี้่ยงชีวิตคนและสัตว์ สุขสบาย-ร่มเย็น ทุกวันนี้

คนรุ่นใหม่ ก็อาจไม่ทราบเช่นกัน....
ว่าป่าไม้ตามเทือกเขาสูงอันสลับซับซ้อน ยังคงเป็นป่าสมบูรณ์ ยังคงเป็น "ต้นน้ำ" ของแม่น้ำหลายสาย ที่เป็นเช่นนั้นได้ เพราะใคร?

และดอยสูงถิ่นเหนือ พลิกเป็นแหล่งเพาะปลูกและผลิตภัณฑ์พืชผักผลไม้และดอกไม้เมืองหนาว ประดับใจ-ประดับไทย ให้เลิศวิไลกล่าวขานทุกวันนี้ได้ เพราะใคร?

"แผ่นดินถิ่นใต้" ก็เช่นกัน

ไม่เพียง ๓ จังหวัดชายแดน ที่ไหนประสบปัญหา "ดินและน้ำ" ไม่อำนวยในการทำกิน จะได้รับการแก้ไข รวมถึงโครงการพัฒนาอาชีพต่างๆ
จนทุกวันนี้ คนถิ่นใต้ ได้รับอานิสงส์นั้น ทั้งวัฒนธรรมดำรง ทั้งเกษตรกรรม กสิกรรม และทั้งการทำมาหากิน ในผืนดิน "วิจัย-พัฒนา" นั้น เพราะใคร?

คนรุ่นใหม่ ที่อายุไม่เกิน ๔๐ อาจเข้าใจว่า....

ผืนดิน ป่าเขา แมกไม้ แม่น้ำ ลำธาร ทั้งเหนือ-ใต้-ออก-ตก-อีสาน ที่ดำรงอยู่ได้ และ "ผืนดินดำ-น้ำชุ่ม" ป่าไม้อุดมสมบูรณ์ แผ่นดินไทยเป็น "แผ่นดินทอง" อย่างที่เป็น ทุกวันนี้

นั่น เพราะ "ด้วยตัวมันเอง" ไม่มีใครไปชี้แนะ-แตะต้อง!?

ในฐานะคนวัย ๘๐ ก็อยากบอกคนรุ่นใหม่ เพียงให้รู้ไว้เท่านั้นว่า อย่าเข้าใจว่าผมจะมาโน้มน้าวชักจูง

"อักขาตาโร ตถาคตา" ครับ

พระพุทธเจ้าตรัสบอกว่า "ธรรมทั้งหลายพระองค์เป็นแต่เพียงผู้บอก" ส่วนใครจะเชื่อ-ไม่เชื่อ จะนำไปปฏิบัติให้เกิดผลอย่างไรหรือไม่ ก็อยู่ที่ตัวผู้นั้นเอง

ที่ผมพูดวันนี้ ก็ยึดตามหลักนั้น......

โดยจะบอกว่า ที่เห็นความสมบูรณ์ของป่า ของต้นน้ำลำธาร ของอาชีพและชีวิตชาวบ้านพัฒนาขึ้นมาดังทุกวันนี้

นั่นเพราะพระมหากรุณาธิคุณของ "พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร" รัชกาล ที่ ๙

และ "สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ  พระบรมราชชนนีพันปีหลวง"

นับตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๐๐ เป็นต้นมา ทั้ง ๒ พระองค์ แทบจะไม่ได้ประทับอยู่ในพระราชวังสวนจิตรลดาเลย

ภูผา ป่าเขา ลำเนาไพรแถบถิ่นทุรกันดาร คือพระราชฐานเวียงวังของทั้งสองพระองค์

พสกนิกรอยู่ตรงไหน ทั้งสองพระองค์จะเสด็จฯ ไปคลุกฝุ่น คลุกดิน-คลุกทราย ไปทรงเยี่ยมเยียนถึง ไต่ถามสารทุกข์สุกดิบ ตลอดเป็นปีๆ ทั้งเหนือ อีสาน-ใต้

ไม่เพียงเยี่ยมเยียนเฉยๆ เมื่อทรงทราบปัญหา ไม่ว่าที่นั้นจะอยู่ไกล จะทุรกันดารขนาดไหน ต้องปีนขึ้นเขา-ลงห้วย ต้องลุยน้ำ-ลุยโคลน บุกป่าฝ่าดงหนามขนาดไหน

ก็มิทรงหวั่น เสด็จฯ ลุยไปเพื่อทรงแก้ปัญหาด้านการทำมาหากินให้ชาวบ้าน ขนาดว่า ชาวบ้านแท้ๆ ก็ยังไม่กล้าลุย แต่พระองค์ทรงลุย

ไม่ใช่ครั้งเดียวพอเป็นพิธี......

หากแต่ทรงตามงานนั้น บางแห่ง ๕-๑๐ ครั้งก็มี จนการแก้ปัญหาเรื่องน้ำ-เรื่องดิน สำเร็จ

อย่างป่าทางเหนือ ก็ทราบกันอยู่แล้ว มีชาวบ้านหลายเผ่ากระจายกันอยู่ ก็ถางป่า ทำไร่เลื่อนลอยตลอดทุกปี ผสมกับนายทุนโค่นไม้

ก็ไม่เพราะทั้ง ๒ พระองค์ เสด็จฯ ไปแต่ละยอดเขา-ยอดดอย โน้มน้าว ชักจูง เปลี่ยนจากทำไร่เลื่อนลอย มาปลูกพืชเกษตรและพรรณไม้เมืองหนาว อย่างที่เห็นวันนี้ดอกหรือ?

ทุกวันนี้ เมืองเหนือ จึงคงสภาพธรรมชาติสวยงาม "งามทั้งคน-งามทั้งธรรมชาติ" เมืองเหนือ "ถิ่นไทยงาม"

คนรุ่นใหม่ ไม่มีโอกาสเห็น "พระมหากษัตริย์ที่ทรงงานหนักยิ่งกว่ากรรมกร" ตามที่ผมกล่าว

เพราะเมื่อลืมตาออกมาจากท้องแม่ ก็เห็นแต่ผลิผลจากงานที่ทั้ง ๒ พระองค์ทรงหลั่งพระเสโทเป็นอุทกธารอาบแผ่นดินไว้ให้แล้ว

ก็หลงเข้าใจว่า "ที่มีอยู่-มีกิน เพราะโคตรเหง้ากูทำ-กูสร้าง" ไม่เห็นพระมหากษัตริย์พระองค์ไหนมาสร้างให้-ทำให้

ฉะนั้น จะต้องเคารพ-เทิดทูน จะต้องสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณไปทำไม?

คำที่ผมจำได้ฝังใจ คือคำที่ "สมเด็จพระพันปีหลวง" ตรัสเมื่อ พ.ศ.๒๕๒๕ ที่อำเภอส่องดาว สกลนคร ว่า

"พระเจ้าอยู่หัวเป็นน้ำ ฉันจะเป็นป่า ป่าที่ถวายความจงรักภักดีต่อน้ำ พระเจ้าอยู่หัวสร้างอ่างเก็บน้ำ ฉันจะสร้างป่า"

ถ้าทั้ง ๒ พระองค์ ไม่ทรงนำรักษา-พัฒนา "น้ำกับป่า" ไว้แต่ครั้ง ๓๐-๔๐ ปีที่ผ่านมา

วันนี้ ประเทศไทย-คนไทย จะตกอยู่ในสภาพไหน รุ่นใหม่-รุ่นเก่า ใช้จิตสำนึกใคร่ครวญดู!

เราเป็นมนุษย์ ฉะนั้น อย่าเป็น "นกที่ไม่รู้จักคุณฟ้า-ปลาที่ไม่รู้จักคุณน้ำ" กันนักเลย

พูดถึงเรื่่องเหล่านี้แล้ว ๒-๓ วันมานี้ เห็นมีการนำสปอตเฉลิมพระเกียรติ เรื่อง “มากกว่า...ของในถุงพระราชทาน” มาวิจารณ์และนำไปปั่นแฮชแท็กด้วยเฮตสปีชกันมาก

ผมก็ดูนะ สปอตเฉลิมพระเกียรติชุดนี้ ที่น้ำท่วมบ้านจนสองพ่อลูกต้องขึ้นไปอยู่บนหลังคาตกปลากันหัวเราะบ่งบอกความสุข

จากนั้่น มี "ถุงพระราชทาน" มามอบให้ มื้อนั้น จึงเป็น

 “มื้อที่สุขที่สุด” ของสองพ่อลูก

"สมศักดิ์ เจียม" โพสต์นำมาเลยว่า....

"คนทำโฆษณา บ้านไม่เคยจมหายไปกับตา ก็ดัดจริต ขอบคุณ 'ถุงพระราชทาน' (ซึ่งความจริงซื้อจากเงินภาษีและเงินบริจาค) และทำซาบซึ้งกับ......."

จากนั้น ขบวนการเขาก็ออกมาเมนต์ มาปั่นแฮชแท็กกันเป็นหางว่าว บางคนก็ผสมโรงไปว่า

"เวอร์มากไป คนน้ำท่วมมิดบ้าน จะหัวเราะมีความสุขได้อย่างไร และกินข้าวบนหลังคา จะเป็น 'มื้อที่สุขที่สุด' ถึงขนาดนั้นเชียวหรือ?"

ก็ต่างๆ นานา สุดสรรคำมาตำหนิ กระแทกถึงสถาบัน

จากวิจารณ์คนทำสปอต ลามไปถึง "บริษัท สิงห์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด" ผู้เผยแพร่เพื่อการเฉลิมพระเกียรติ ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ

ทุกอย่างอยู่ที่ "เจตนา" นะ ผมว่า

กับบริษัท สิงห์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด ผมไม่มีความเคลือบแคลงใดๆ ในด้านความรักชาติบ้านเมืองและการเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์

ไม่เพียงคำพูดหรือแค่คำโฆษณา ไม่ต้องสังเกตก็เห็น ว่าครั้งใดที่พี่น้องร่วมชาติเกิด "ทุกข์ร่วมกัน" ไม่ว่าจากภัยพิบัติหรือใดๆ

สิงห์ คอร์เปอเรชั่น จะเป็น ๑ ในหลายๆ บริษัทห้างร้าน ที่เข้าช่วยเหลือ ชนิดว่า "ประสงค์จะช่วยเหลือ แต่ไม่ประสงค์จะออกนาม" ทุกครั้ง

กับสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วยแล้ว....

ผมเห็นแต่กาล-แต่กัป การกระทำที่แสดงออกถึงความจงรักภักดีและเทิดทูนสถาบัน รวมถึงการสนับสนุนโครงการในพระองค์เพื่อพสกนิกรหลายๆ แห่ง

สิงห์ คอร์เปอเรชั่น ดำรงตามแนวพระราชดำริมั่นคง บ่งบอกถึงการกระทำ "จากใจภักดิ์" ชัดแจ้ง

กับคนทำสปอต....

ผมเข้าถึงหัวใจครีเอทีฟเขาเลย ๑ วินาที กับการทำหนัง ที่ต้องสื่อออกมาให้ได้ว่า คืออะไร ที่มันมากกว่า "ของพระราชทาน" ในถุง?

นั่นไม่ต่างกลั่นน้ำทั้งมหาสมุทรให้หล่นลงมาเป็น "ฝนบริสุทธิ์" เม็ดเดียว ซักเท่าไหร่หรอก!

เหมือนเรื่องบางเรื่องที่เข้าใจยาก จะต้องใช้เวลาอธิบายยาวมาก วิธีที่จะไม่ต้องอธิบายยาว แต่คนฟัง ฟังปุ๊บเข้าใจปั๊บ

ก็หา "ภาพหรือคำ" มาสื่อแทน หรือ "ยกตัวอย่างง่ายๆ" เชิงเปรียบเทียบ มาเป็นสัญลักษณ์ที่สื่อถึง!

อย่างสปอตเฉลิมพระเกียรติผ่าน "ถุงพระราชทาน" ภาพพ่อลูกบนหลังคามีความสุขกับ "มื้อที่สุขที่สุด" ก็ดี

ผ้าห่มพระราชทาน ยามดินฟ้าอากาศแปรปรวนก็ดี  มันเป็นสัญลักษณ์ถึง ชาวบ้านที่ได้รับ “สุขและอบอุ่นถึงหัวใจ"

เด็กได้รับ "ทุนพระราชทาน" นั่นก็เช่นกัน ที่ผู้ทำสปอต เน้นโต๊ะหนังสือ ด้วยอักษร "โอกาส"

ตรงตัวเลย ทุนพระราชทานเพื่อการศึกษา มันคือ "โอกาส" ทางอนาคตที่ยั่งยืน

ทั้งตัวเด็ก ทั้งครอบครัว และทั้งสังคมประเทศชาติ

สปอตนี้ใช้ภาพสื่อแทนคำบรรยาย มีตบท้ายก่อนจบ ชั่วเข็มนาฬิกากระดิกครั้งเดียว เพียงว่า

 “ความหวัง  กำลังใจ ยังคงถูกส่งออกไป เพื่อบรรเทาทุกข์ บำรุงสุขเสมอมา เราคนไทย ได้รับพระราชทาน มากกว่า...ของในถุง”

ผมดูก็เข้าใจเจตนาบริสุทธิ์ทั้งผู้ทำสปอตและบริษัทสิงห์ที่เผยแพร่เป็นการเฉลิมพระเกียรติ

เห็นนำไปโพสต์-ไปแชร์ ไปปั่นเฮตสปีชด้านลบ ก็อยากให้กำลังใจผู้ทำ-ผู้เผยแพร่

"๑ ทำ แต่ ๑๐๐ คอยจ้องตำหนิ" นี่คืองานอาชีพในยุคไอที ที่หลอมคนยุคนี้ให้เป็น "มนุษย์วัตถุ"

ก็บอกแล้ว ทุกอย่างให้ดูที่ "เจตนา"

เมื่อทำดีแล้ว ผู้มี "อจลศรัทธา" ย่อมไม่หวั่นไหวกับสรรเสริญและคำนินทาว่าร้าย

ดังนั้น ผมก็เชื่อ บริษัทสิงห์ผู้มีความมั่นคงในสถาบันมาตลอด จะไม่ท้อแท้และหวั่นไหวกับคนจ้องจับผิด เพื่อโจมตี ซึ่งก็ทราบว่าเป็นพวกไหน

"สมศักดิ์ เจียม" หรือ "ซู่คุ้ง แซ่พัว" นั้น เป็นตัวอย่าง "เรียนเพื่อลบค่าความเป็นคน-เพิ่มพูนความเป็นสัตว์เนรคุณ" ถึงได้โพสต์ว่า

"ถุงพระราชทาน" ใช้เงินภาษีและเงินบริจาคซื้อ!

ซึ่งบิดเบือนหวังให้คนเข้าใจผิดโดยตรง เพราะสมศักดิ์ เจียม เป็นอาจารย์สอนประวัติศาสตร์ ศึกษาเรื่องเกี่ยวกับสถาบันเพื่อหาจุดโจมตีมาตลอด

ต้องรู้ว่า ต้นกำเนิด "ถุงพระราชทาน" นั้น "ในหลวงรัชกาล ที่ ๙" ทรงให้จัดทำเพื่อนำไปพระราชทานแก่ประชาชนในภาคใต้ เมื่อครั้งเกิดวาตภัยหลายสิบปีก่อนโน้น

ไม่ได้ใช้เงินภาษี ไม่ได้ใช้เงินบริจาค แต่ทรงนำดอกผลของ "มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์” ของพระองค์โดยแท้ และจัดทำตลอดมา

ทุกคนมีอิสรภาพในความคิด "คิดสัตย์-คิดอสัตย์" แต่ละคน รู้อยู่กับตัวเอง

และผลที่ได้รับจาก "สัตย์-อสัตย์" นั้น ด้วยแต่ละเจตนา จะมีคำตอบให้แต่ละชีวิต

เร็วปานเทคโนโลยีไอที ที่เป็นทาสกันอยู่ทุกวันนี้เชียวแหละ!

คนปลายซอย

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'พรพระ-พรนักโทษ'

หมู่นี้..... "คนห่มเหลือง" ประพฤติผิดพระวินัยสงฆ์ ต้อง "อาบัติปาราชิก" ข้อ "เสพเมถุน" ถี่มาก!

เศรษฐา "นายกฯ ฮูดินี"

"ชีวิตที่มีหมานำ" ก็อย่างนี้แหละครับ "หัวหน้าคอก" เมื่อพักคุก ก็ไปขลุกเชียงใหม่

'เมษา....พระมาเตือน'

เรา...."ประเทศไทย"! "ชาติ-พระศาสนา-พระมหากษัตริย์" เป็นทั้งรูปธรรมและนามธรรม