เที่ยวบาร์ที่มาเนาส์

บริเวณหัวมุมถนนใกล้โรงแรม Lider Hotel เมืองมาเนาส์ มีแผงลอยขายเครื่องดื่มตั้งอยู่ ที่จริงก็เป็นแค่ถังน้ำแข็งขนาดใหญ่ธรรมดาๆ ในนั้นใส่น้ำอัดลมและเบียร์ไว้หลายกระป๋อง นี่คือบาร์ง่ายๆ ริมถนนในเมืองมาเนาส์ที่มีอยู่ทั่วไปหมด บางร้านมีของกินเล่นและมีโต๊ะเก้าอี้ด้วย ผมพินิจดูเครื่องดื่มในถังแล้วก็หยิบเบียร์ยี่ห้อ Bohemia มา 1 กระป๋อง อีกยี่ห้อที่ไม่ได้หยิบคือ Brahma

เวลาประมาณ 2 ทุ่มของวันเสาร์ ร้านรวงในรัศมีสามสี่ร้อยเมตรปิดไปมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ ผิดธรรมชาติค่ำวันเสาร์ของเมืองใหญ่ และสำหรับมาเนาส์นี่เป็นถึงเมืองหลวงของรัฐอามะโซนัส และเป็นเมืองใหญ่อันดับที่ 7 ของบราซิล มีประชากรมากกว่า 2 ล้านคน ขณะรู้สึกประหลาดใจกับภาพที่พบเห็นผมก็เปิดกระป๋องเบียร์แล้วเดินดื่มไปบนถนน Av. Eduardo Ribeiro

ผมยังคงต้องการใช้อินเทอร์เน็ตจากมือถือเพื่อดูแผนที่กูเกิล ซิมการ์ดที่ซื้อมาจากร้านค้าใกล้ท่าเรือ Tonantins ในแม่น้ำแอมะซอนยังเปิดใช้ไม่ได้ ขณะเดียวกันผมก็อยากหาอะไรรองท้อง เจอร้านขายยาเปิดอยู่ เดินเข้าไปดูก็พบว่านอกจากยา เครื่องสำอาง สิ่งของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน แล้วก็ยังมีขนมขบเคี้ยวขายด้วย และพอเห็นเคาน์เตอร์แคชเชียร์ ผมรู้สึกมีลุ้นถึงขั้นเปิดใช้ซิมการ์ด

       แคชเชียร์หนุ่มใส่แว่นยืนอยู่แต่ผู้เดียว หน้าตาคล้ายคนบ้านเรา เขาถ่อมตัวว่าพูดภาษาอังกฤษได้นิดหน่อย แต่ความจริงเขาพูดได้ดีมาก อธิบายว่าชาวต่างชาติจะต้องมีหมายเลขประจำตัวเสียก่อน ตัวย่อ CPF จึงจะสามารถลงทะเบียนหรือ activate ซิมการ์ดได้ ซึ่ง CPF นี้จะต้องไปขอจากที่ทำการไปรษณีย์ โดยนำหลักฐานสำคัญอย่างพาสปอร์ตไปด้วย

     ตรวจสอบข้อมูลจากเว็บบล็อกของคนต่างชาติในบราซิลจึงทราบว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ แต่กฎระเบียบพวกนี้เปลี่ยนแปลงกลับไปกลับมา สำหรับนักท่องเที่ยวที่ไม่ไปขอหมายเลข CPF แต่ใช้อินเทอร์เน็ตจากมือถือได้นั้นก็เพราะมีเพื่อนชาวบราซิลที่มี CPF ลงทะเบียนให้ หลายกรณีตามซุ้มเติมเงินมือถือ พนักงานในร้านก็เอา CPF ของพวกเขาหรือของใครก็ไม่รู้มาลงทะเบียน

     แต่จากประสบการณ์ตรงในอีก 2 วันต่อมาก็ได้ทราบว่า หากเปิดเบอร์กับศูนย์บริการเครือข่ายมือถือโดยตรง เราก็สามารถใช้แพ็กเกจอินเทอร์เน็ตได้ทันที เข้าใจว่าพนักงานของบริษัทผู้ให้บริการเป็นคนลงทะเบียน CPF ให้ เพราะใช้เวลานานกว่าจะเรียบร้อย

     หยิบช็อกโกแลตมา 1 แท่ง และน้ำเปล่า 1 ขวดจากร้านขายยา จ่ายเงินแล้วถามแคชเชียร์หนุ่มว่ามีย่านผับบาร์ในระยะทางที่พอเดินได้บ้างไหม เขาชี้บอกทาง ผมคิดว่าน่าจะเดินไม่ยาก ถามเขาว่าอันตรายไหมยามค่ำคืนดึกดื่น ได้รับคำตอบว่าค่อนข้างปลอดภัย

     ผมออกเดินไปบนถนนที่ร้างผู้คน นอกจากบาร์ถังน้ำแข็งตรงบางทางแยก และสตรีบางนางตามเสาไฟหัวมุมถนนแล้วก็ไม่เห็นว่าจะมีการค้าพาณิชย์ใดดำรงอยู่อีกเลย

     แต่พอเดินไปได้ประมาณ 1 กิโลเมตร เลี้ยวตามคำบอกของแคชเชียร์ร้านขายยา ย่านผับบาร์ก็รอท่าอยู่บนถนน Rua Lobo D’Almada บนบาทวิถีและบนพื้นถนนใกล้ๆ ผับบาร์มีร้านขายกินเล่นแบบรถเข็นหลายร้าน

     และในย่านเดียวกันนี้ก็มีสถานที่ขึ้นป้ายด้านหน้าว่า Hotel อยู่จำนวนหนึ่ง หญิงชายบางคู่ยืนพูดคุยกันอยู่ บางคู่คุยกันแล้วก็เดินเข้าประตู Hotel ลับหายไป

     ในจำนวนผับบาร์ที่เปิดอยู่ประมาณ 5 ร้าน ที่น่าสนใจมีอยู่เพียงร้านเดียว ชื่อ Boteco Do Edu ผมดื่มเบียร์จากกระป๋องจนหมดแล้วเดินเข้าร้านโดยที่ยังถือกระป๋องอยู่เพราะไม่มีที่จะทิ้ง ในร้านกึ่งโอเพ่นแอร์มีลูกค้าอยู่ประมาณ 100 คน เรียกได้ว่าคนเต็ม แต่ไม่ถึงกับแน่น มีทั้งนั่งโต๊ะ ยืนดูฟุตบอลจากจอทีวีขนาดใหญ่ และเต้นรำไปกับดนตรีสด

     ผมเดินตรงไปยังเคาน์เตอร์บาร์ ชูกระป๋องเบียร์ให้บาร์เทนเดอร์ดูแล้วฝากทิ้งไปในตัว เขาเปิดตู้แช่หยิบ Bohemia มาให้ 1 กระป๋อง ราคา 5 เรียลเท่านั้น เท่ากับที่ผมซื้อจากร้านถังน้ำแข็ง

     ยืนหน้าบาร์ดูวงดนตรีเล่นละตินแดนซ์ หนุ่มนักร้องหันมายิ้มและเล่นกับกล้องมือถือ หนุ่มสาวเต้นอยู่หลายคู่ บางคู่เป็นหญิงกับหญิง แต่ละคู่เต้นได้เพลินและพลิ้วมากแม้ในพื้นที่แคบๆ

     ผ่านไปสัก 5 นาทีเห็นโต๊ะว่างผมจึงเดินไปนั่ง มีเก้าอี้อยู่ 2 หรือ 3 ตัว ไม่นานต่อมามีกลุ่มคนจำนวน 4 คนมาขอแชร์โต๊ะกับผม โดยขอวางขวดเบียร์และแก้วเบียร์ พวกเขาสั่งเบียร์ Bohemia มาเช่นเดียวกัน แต่เป็นขนาด 1 ลิตร ใส่มาในปลอกหุ้มขวดสำหรับเก็บความเย็น พวกเขารินเบียร์ใส่แก้วแล้วก็หันมา “Saude” ชนแก้วกับผม

     ในจำนวน 4 คนนี้มีผู้ชาย1 คน หญิง 3 คน ผมมั่นใจว่าไม่มีใครมีเชื้อสายยุโรปผสมอยู่ หน้าตาคล้ายๆ คนอาเซียนบ้านเรา ผู้หญิงคนหนึ่งอ้วนมาก “ซาอูเจ” กับผมค่อนข้างบ่อย อีก 2 คนก็อยู่ในเกณฑ์อ้วน แต่อ้วนได้เพียงครึ่งเดียวของหญิงอ้วนจอมชนแก้ว ผมสั่งเบียร์อีกกระป๋อง และเห็นว่าแก้วว่างอยู่ 1 ใบก็เลยขอพวกเขามาใช้ รินเสร็จหญิงอ้วนก็ “ซาอูเจ” ทันที

     เธอเริ่มไม่อ้อมค้อม เสนอบริการ และพอเธอคิดว่าผมไม่เข้าใจว่าเธอเสนอขายอะไรกันแน่ เธอก็ทำท่าให้ดูซะเลย ผมหัวเราะออกมา เธอพูดอะไรบางอย่าง ผมส่ายหน้าปฏิเสธ

     ต้องยอมรับว่าเธอเป็นของแปลกประหลาดในตลาดแนวนี้ แต่หากว่าใครมีสเปกทางนี้มาพบเธอเข้า ก็คงต้องยอมเดินเข้า Hotel ตามหลังเธอไป

     หลังจากพยายามทำท่าทางโฆษณาสินค้าอีกสามสี่ครั้ง จนเห็นว่าไม่น่าจะสมหวังกับผมแน่ เธอก็ลมเลิกแผน หันมาเต้นอย่างเดียว ซึ่งเพียงเธอหมุนตัวแค่ครึ่งรอบ โต๊ะข้างๆ ก็ต้องหลบกันจ้าละหวั่น

     ในกลุ่มนี้มีเพียงผู้ชายที่นั่งเก้าอี้ หมอนี่ดูท่าทางเป็นเกย์ สาว 3 คนที่เหลือยืนเต้นอยู่ข้างๆ โต๊ะ ซึ่งติดกับทางเดินที่ตรงไปยังเคาน์เตอร์บาร์ เบียร์ผมหมดไป 2 กระป๋อง หญิงคนหนึ่งในกลุ่มผู้อ้วนน้อยสุดรินเบียร์ขวดลิตรขวดที่ 2 ของพวกเธอใส่แก้วของผม แล้วก็ Saude กันอีกหลายแก้ว โดยที่พวกเธอไม่ยอมให้แก้วผมว่าง แม้คุยกันไม่รู้เรื่อง แต่ผมก็รู้สึกสนุก จนกระทั่งพวกเธอย้ายออกจากร้านไป ไม่นานต่อมาผมเข้าห้องน้ำแล้วก็ออกจากร้านไปเช่นกัน

     ตรงข้ามบาร์ Boteco Do Edu มีร้านขายของชำ เบียร์ในตู้แช่มีหลายยี่ห้อ ผมหยิบ Brahma มา 1 กระป๋อง ของขบเคี้ยว 2 ห่อ และบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป 1 ถ้วย จ่ายเงินแล้วเดินกลับโรงแรมตอน 4 ทุ่มกว่า ระหว่างทาง 1 กิโลเมตรหลังออกมาจากโซนดื่มกิน ถนนโล่ง มีแสงจากเสาไฟริมถนนเพียงสลัวๆ ไม่มีประตูร้านรวงเปิดแม้แต่แห่งเดียว และบางมุมสี่แยก มีผู้หญิงแต่งกายแปลกๆ ยืนอยู่ เหลือเชื่อ นอกจากแม่ผีเสื้อสมุทรนางนั้นแล้วก็ไม่มีใครเชื้อเชิญหรือนำเสนออะไรแก่ผมอีกเลย

     วันต่อมา หลังกลับจากทัวร์แอมะซอนแบบวันเดย์ทริป โดยได้ข้อมูลบาร์น่าสนใจแห่งหนึ่งจากหนุ่มสาวรีโอเดจาเนโรผู้ร่วมทริปเดียวกัน พอถึงห้องพักและอาบน้ำเสร็จ เวลาทุ่มกว่าๆ ผมก็เดินไปตามลายแทงที่ได้รับมา

     บนถนน Av. Eduardo Ribeiro ถนนสายเก่าแก่ของเมืองมาเนาส์ ผู้คนจำนวนมากมารวมตัวกัน มีรั้วเหล็กกั้นต่อๆ กันทำเป็นวิกจัดงาน ผมเดินเข้าไป และพอเข้าไปใกล้เรื่อยๆ ก็เลยรู้ว่านี่มันงานรวมตัวของชาวสีรุ้ง หรืองาน “ไพรด์” เมื่อก่อนอาจเรียกเกย์ไพรด์ แต่เดี๋ยวนี้ได้มีการแยกประเภทได้มากขึ้น มากกว่า LGBT เสียอีก เท่าที่ทราบไปถึง LGBTQIA2S+ แล้ว และคงจะมีมากขึ้นอีกเรื่อยๆ

     บนเวทีดีเจกำลังเปิดเพลง มีการโชว์ตัวของผู้เข้าประกวดบางอย่างในคอสตูมที่จัดเต็ม เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยกระจายอยู่โดยรอบ คงมีไว้เผื่อระงับเหตุที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด

     ผมเดินไปจนใกล้ถึงเวที เห็นช่องสำหรับเดินออกไปสู่บาทวิถีทางด้านขวาก็เลยหลบออกไป เดินต่อจนถึงแนวเดียวกับเวที แล้วเลี้ยวขวาไปเจอสิ่งก่อสร้างที่ดูใหญ่โตอลังการ นี่คือโรงละครโอเปราแอมะซอน (Teatro Amazonas) สร้างขึ้นเมื่อปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ยุคที่เมืองมาเนาส์รุ่งเรืองสุดขีด เรียกว่ายุค Rubber Boom หรือยุคทองของการผลิตและส่งออกยางพารา ซึ่งผมขออนุญาตนำไปกล่าวถึงอย่างละเอียดในตอนหน้าหรือ 2 ตอนข้างหน้า

     ด้านขวามือของโรงละครแอมะซอนมีร้านอาหารในอาคารเก่าหลายร้าน ต่างตั้งโต๊ะล้ำออกมาจากหน้าร้านหลายเมตร หน้าโรงละครมี Monumento à Abertura dos Portos แปลว่า “อนุสาวรีย์การเปิดท่า” ซึ่งก็คือรูปปั้นที่สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงการเปิดท่าเรือต่างๆ เมื่อปี ค.ศ.1866 ในแม่น้ำแอมะซอนเพื่อการค้าขายระดับนานาชาติ โดยพิธีฉลองเปิดอนุสาวรีย์มีขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1900 อนุสาวรีย์นี้ทำให้จัตุรัสหน้า Teatro Amazonas มีความโดดเด่นและสมดุลอย่างมาก

     Bar do Armando ตั้งอยู่อีกฝั่งถนนทางด้านซ้ายของอนุสาวรีย์ บาร์นี้อยู่ในเขตที่เรียกว่า Centro หรือ Center ในภาษาอังกฤษ อยู่ใกล้กับโรงละครอามะโซนัส และไม่มีบาร์อื่นในลักษณะเดียวกัน ผมจึงขอทึกทักเอาว่าเป็นบาร์ชื่อดังหรือบาร์ที่เป็นหน้าเป็นตาของมาเนาส์

     กลุ่มอาคารแถบเดียวกับ Bar do Amando มีร้านอาหารอยู่หลายร้าน ผมต้องการกินมื้อค่ำก่อนเข้าบาร์ เดินอยู่นานเลือกร้านไม่ได้ แต่พอฝนโปรยลงมาก็เดินเข้าร้านที่ใกล้ที่สุด อาหารที่ได้คือข้าวสวย ไก่ย่างเสียบไม้ ซอสสำหรับกินกับไก่ ผงมันสำปะหลัง และสลัดมันฝรั่ง กินเสร็จฝนก็หยุดตกพอดี

     Bar do Armando เป็นร้านขนาดกลางในอาคารเก่าชั้นเดียว มีประตูทางเข้าอยู่ด้านหน้าถึง 3 ประตู คงเพราะต้องการให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก นอกร้านตั้งโต๊ะเก้าอี้พลาสติกหลายชุด สำหรับพวกที่เน้นกินไม่เน้นดื่ม วงดนตรีเล่นอยู่ตรงหลังประตูบานซ้าย จัดพื้นที่วงไว้ค่อนข้างแคบตามแบบฉบับวงดนตรีในร้านเหล้า ไม่มีเวทีหรือยกพื้น

     ภายในร้านมีโต๊ะตั้งอยู่ค่อนข้างแน่น พื้นปูด้วยกระเบื้องเก่าแผ่นเล็กๆ ฝาผนังประดับภาพคนและข้อความในกรอบรูป บนเพดานตกแต่งด้วยธงชาติหลายประเทศ ธงโปรตุเกสและบราซิลผืนใหญ่กว่าของประเทศอื่นๆ และธงโปรตุเกสใหญ่กว่าของบราซิล คนเต็มร้าน ไฟสว่าง เหมาะสำหรับนั่งพูดคุยกับเพื่อนฝูงมากกว่าจะมานั่งดื่มให้เมามาย ลูกค้ามีตั้งแต่รุ่นเรียนมหาวิทยาลัยไปจนถึงประมาณ 40 กลางๆ เป็นบาร์มีระดับกว่าและราคาเครื่องดื่มสูงกว่าร้านเมื่อคืนก่อนประมาณ 2 เท่าตัว

     บาร์เคาน์เตอร์อยู่ด้านหลังห้อง ผมเดินไปสั่งเบียร์ Bohemia ขวดยักษ์ 1 ลิตร รับเบียร์มาในปลอกกักเก็บความเย็นที่ดูคล้ายขวดเบียร์เสียบอยู่ในกระติกน้ำแข็ง จ่ายเงินกับบาร์เทนเดอร์แล้วหันไปเห็นโต๊ะริมผนังห้องฝั่งตรงข้ามวงดนตรีว่างอยู่ 1 ตัว จึงรีบเดินไปนั่ง โต๊ะนี้มีเก้าอี้ 2 ตัว

     เวลาผ่านไป วงดนตรีมีสมาชิกและจำนวนเครื่องดนตรีมาเพิ่ม เริ่มเล่นร็อกแอนด์โรลของบราซิล มีลูกค้าคนหนึ่งเข้าไปเป็นนักร้องนำ เขาเปิดดูเนื้อร้องจากมือถือ เสียงดีมาก คงเป็นลูกค้าที่ได้รับเชิญให้ร้องอยู่เป็นประจำ หรืออาจจะขอร้องเองเป็นประจำก็ได้ ร้อง 1 เพลงแล้วกลับไปประจำโต๊ะ ตอนหลังเขากลับเข้าไปร้องนำอีก 1 เพลง ได้รับเสียงปรบมือเกรียวกราว

     ต่อมามีการเปลี่ยนวง นักร้องนำและมือกีตาร์โซโลโดดเด่นมาก วงนี้เน้นเพลงร็อกแอนด์โรลสากล ช่วงท้ายวงเดิมกลับมาอีกครั้งและเล่นเพลงร็อกบราซิล ทั้ง 2 วงฝีมือดีเยี่ยมพอๆ กัน แต่นักดนตรีของวงที่สองอายุมากกว่า และล้วนเล่นเพลงที่ผมชอบ ตลอด 3 ชั่วโมงที่อยู่ในร้าน ผมไม่ค่อยเห็นคนลุกขึ้นเต้น คงเพราะไม่ใช่เพลงสำหรับเต้น อีกทั้งโต๊ะเก้าอี้ตั้งชิดกัน และไฟสว่างเกินไป ถ้าให้เปรียบเทียบ ผมชอบร้านเมื่อคืนมากกว่า และเป็นไปได้ว่าสาเหตุที่ชอบร้านเมื่อคืนมากกว่าเพราะร้านคืนนี้ไม่มีใครเข้ามาทักทายพูดคุยแม้แต่คนเดียว

     เบียร์ขวดยักษ์ 2 ขวดทำให้หนักท้อง ผมเลยเปลี่ยนเป็นสกอตวิสกี้ผสมโซดา ตามด้วยเบอร์เบินโซดาอีกแก้วแล้วเดินออกจากร้านตอนเกือบๆ เที่ยงคืน มุ่งหน้ากลับโรงแรมโดยต้องผ่านเวทีไพรด์ของชาว LGBTQI2S+

       งานรื่นเริงร้อยเฉดสียังไม่เลิกรา และคนยังแน่นเหมือนเดิม.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ยโสโอหังไม่ฟังใคร ไม่สนใจกระแส...คิดว่าแจงได้

อ่อนอกอ่อนใจจริงๆ กับสถานการณ์บ้านเมืองเวลานี้ ตั้งแต่ถ้อยคำ วาจา ท่าที ลีลาการหาเสียงของคนที่ถูกวางตัวว่าวันหนึ่งจะได้เป็นผู้นำประเทศ ตะโกนด้วยสุ้มเสียงมั่นอกมั่นใจในสิ่งที่พูด ท

สูตรแต่งตั้งตำรวจ

กว่าจะเคาะ กว่าจะคลอด ก็นั่งนับนิ้วกันแทบหงิก เพราะ 180 วัน ตามเงื่อนไขการบังคับใช้กฎ ก.ตร.ว่าด้วยการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ พ.ศ. 2567

ฤาประเทศไทยจะไร้สีสวย มีแต่สีแสบ

ประเทศไทยอยู่ในสภาพความขัดแย้งระหว่างสีเสื้อมาเกือบ 2 ทศวรรษแล้ว แม้เวลานี้เราจะมีรัฐบาลผสมแบบข้ามขั้ว แต่เราก็ยังไม่เห็นบรรยากาศของความปรองดองเกิดขึ้นอย่างแท้จริง

โลกที่'อันตราย'กับภารกิจของ'คนรุ่นใหม่'

เห็นข่าวเรื่อง ดร. ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นักวิชาการด้านทะเลและสิ่งแวดล้อม อาจารย์ภาควิทยาศาสตร์ทางทะเล มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ท่านออกมาโพสต์