ขอฉลองด้วยการเลี้ยงซ่าหริ่มให้น้องๆที่เป็นสลิ่ม

     ในตอนบ่ายของวันที่ 30 กันยายน 2565 พอถึงเวลา 14.55 นาที เริ่มเปิดโทรทัศน์เพื่อติดตามการอ่านคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญในการวินิจฉัยการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าครบ 8 ปีตามข้อกำหนดของรัฐธรรมนูญของไทยที่ประกาศใช้ในวันที่ 6 เมษายน 2560 หรือไม่

แม้ว่าจากการพิจารณาของตนเองนั้น มั่นใจว่าการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของท่านจะไม่เริ่มนับจากวันที่ 24 สิงหาคม 2557 แน่ เพราะตอนนี้รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันยังไม่ได้ประกาศใช้ แต่กระนั้นก็อดวิตกกังวลไม่ได้ เพราะในใจนั้นต้องการให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไปจนครบวาระของการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

ที่มาจากการเลือกตั้งของรัฐสภาในปี 2562 ทั้งนี้เพราะได้ติดตามการทำงานของท่านมาตลอดแล้วเกิดความเชื่อมั่นว่าท่านคือคนที่เหมาะกับการเป็นผู้นำฝ่ายบริหารที่จะนำพาประเทศไทยให้หลุดพ้นจากปัญหา และมีการพัฒนาสู่ความเป็นอารยประเทศที่มีความเจริญรุ่งเรือง

     พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา มีลักษณะของการเป็นผู้นำตามตำรา 3 ประการคือ 1) เป็นคนซื่อสัตย์สุจริต ดังเห็นได้จากการที่เราไม่ได้ยินว่ามีการโกงบ้านโกงเมืองในคณะรัฐมนตรีของท่าน 2) เป็นคนมีสติปัญญาเฉลียวฉลาด ดังเห็นได้จากการนำพาประเทศให้รอดจากการแพร่ระบาดของโควิด การคิดอ่านโครงการต่างๆ เพื่อการพัฒนาประเทศ การกำหนดนโยบายทางด้านเศรษฐกิจและการต่างประเทศที่ทำให้ประเทศไทยสามารถฟื้นตัวหลังจากภัยพิบัติการแพร่ระบาดของโควิด-19 และ 3) เป็นคนขยัน ดังเห็นได้จากการติดตามการทำงานของท่านที่ต้องแบกรับภาระหลายด้าน ทั้งการแก้ปัญหาที่หมักหมมมานานและการพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้า โดยเฉพาะด้านการสร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อคุณภาพชีวิตของประชาชน เพื่อการขนส่งสินค้า และเพื่อการท่องเที่ยว โดยที่ท่านทำงานตามยุทธศาสตร์ที่ควรจะเป็นของประเทศ โดยไม่คำนึงว่าจังหวัดใด พื้นที่ใด สนับสนุนท่านหรือไม่สนับสนุนท่าน และสำหรับการเป็นผู้นำของประเทศไทย คงต้องเพิ่มคุณสมบัติข้อ 4 นั่นคือ การเป็นผู้ทำงานเพื่อประเทศชาติและประชาชนด้วยความจงรักภักดีต่อสถาบันสูงสุดของประเทศ

     สำหรับคนที่ต้องการเป็นรัฐบาลและผิดหวังนั้น ได้พยายามที่จะกำจัดพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้หลุดจากตำแหน่งด้วยวิธีการต่างๆ นานา ทั้ง 1) การยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจในสภา ซึ่งก็ไม่สามารถเอาพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ 2) การสร้างวาทกรรมด้อยค่าตัวพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และการทำงานของท่านในฐานะหัวหน้ารัฐบาล แต่การด้อยค่าก็ไม่เป็นผลกับกลุ่มคนที่พวกเขาเรียกว่า “สลิ่ม” 3) มีการชุมนุมขับไล่เป็นระยะๆ จากกลุ่มต่างๆ แต่ก็ไม่สามารถระดมผู้คนออกมาชุมนุมให้มากพอ อีกทั้งประเด็นในการชุมนุมก็ไม่มีน้ำหนักพอที่จะสร้างความชอบธรรมให้กับการชุมนุมได้ และ 4) ในที่สุดก็ใช้ประเด็นการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีครบ 8 ปี โดยมีการยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย แต่เมื่อยื่นไปแล้วก็ยังกดดันให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ลาออกไปก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะอ่านคำพิพากษา คงจะรู้จากการพิจารณาด้วยตนเองหรือการปรึกษากับผู้รู้ทางกฎหมาย ว่าคำวินิจฉัยน่าจะเป็นคุณกับพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา มากกว่าที่จะเป็นโทษ ดังนั้นจึงได้พยายามกดดันให้ท่านลาออกไปเอง โดยใช้คำว่า “สำนึกรับผิดชอบ” บ้าง หรือบางทีก็ใช้คำว่า “ต้องเคารพ” กฎหมาย แต่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ท่านก็เลือกที่จะรอฟังคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญด้วยความสุขุมคัมภีรภาพ ใครจะพูดอะไร กดดันอะไร ท่านก็ไม่ได้นำพา ยังคงครองตนเป็นสุภาพบุรุษที่ไม่ออกมาโต้แย้งกลุ่มคนที่ด้อยค่าท่าน กดดันท่าน

     บัดนี้ทุกอย่างกระจ่างใสแล้วว่าพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไม่ครบ 8 ปี เพราะการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของท่านจะครบ 8 ปีวันใด ต้องเริ่มนับตั้งแต่วันที่มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน นั่นคือวันที่ 6 เมษายน 2560 ดังนั้นท่านสามารถเป็นนายกรัฐมนตรีได้จนถึง 5 เมษายน 2568 นั่นหมายความว่าสำหรับการเป็นนายกรัฐมนตรีสมัยนี้หลังการเลือกตั้งในปี 2562 พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา สามารถอยู่ต่อได้จนครบวาระ และท่านก็สามารถเดินหน้าบริหารประเทศต่อไป แก้ไขปัญหาต่างๆ ของประเทศต่อไป มีโครงการเพื่อพัฒนาประเทศตามแกนหลัก 3 ประการของท่านคือ 1) การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการพัฒนาประเทศ 2) การดึงบรษัทผลิตรถยนต์ไฟฟ้ามาตั้งโรงงานในประเทศไทย และ 3) ให้คนไทยทุกภาคส่วน ทุกระดับเข้าถึงแหล่งเงินทุน เพื่อการลงทุนได้ตามหลักการของการพัฒนาเศรษฐกิจที่จะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และให้ความสำคัญกับวิสาหกิจชุมชน เพื่อการกระจายความมั่งคั่ง และสร้างความทัดเทียม

     หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญอ่านคำวินิจฉัยไปไม่ถึง 5 นาที เชื่อว่าหลายคนที่ฟังอยู่พอจะเดาออกทันทีว่าการนับวันเริ่มต้นการเป็นนายกรัฐมนตรีของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ใช่ 24 สิงหาคม 2557 แน่นอน เพราะรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันยังไม่ได้ประกาศใช้ คนบางคนก็อยากจะได้เป็นครบ 8 ปีในปี 2562 จะได้ 2560 แค่นี้สลิ่มทั้งหลายก็ซึ้งใจเต็มที่แล้ว อย่างน้อยพวกเขาก็รู้ว่าพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จะได้เป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ครบวาระของการเลือกตั้งในครั้งนี้แน่นอน 

หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญอ่านคำพิพากษาแล้ว ก็จะมีกลุ่มคนที่ไม่ยอมรับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ บางคนออกมาพูดจาหมิ่นศาล บางคนยังคิดที่จะระดมคนมาชุมนุมต่อต้านพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เรียกง่ายๆ ว่าตั้งใจมา “ไล่” ท่านให้ออกไปจากตำแหน่ง ทั้งๆ ที่ท่านมีความชอบธรรมตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญปี 2560 หลายคนพูดไว้ตั้งแต่ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะมีการอ่านคำพิพากษาแล้ว โดยบอกว่าไม่ว่าศาลจะวินิจฉัยออกมายังไง พวกเขาไม่สนใจ เขารู้แต่ว่าพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีมา 8 ปีแล้ว เพราะฉะนั้นท่านต้องไม่หน้าด้าน ทำให้หลายๆ คนต้องออกมาพูดว่าฝ่ายค้านเป็นคนยื่นให้ศาลตีความ เมื่อยื่นไปแล้วก็ต้องรอฟังการตีความของศาลรัฐนูญ ถ้าจะไม่สนใจการตีความ จะยื่นไปทำไม เมื่อยื่นแล้วคุณก็ต้องรอฟัง และรับฟังด้วยการเคารพศาล บัดนี้ผลออกมาไม่เป็นไปตามที่ตัวเองต้องการก็จะมาสร้างความวุ่นวายให้ประเทศที่กำลังเดินหน้าอย่างดงาม ด้วยการจัดชุมนุม

สำหรับสลิ่ม ตอนนี้เรามาฉลองกันด้วยการหาซื้อ “ซ่าหริ่ม” ที่ทั้งหอม ทั้งหวาน ทั้งสวยงามมากินกันให้สุขสำราญกันด้วยความยินดี ที่เรายังคงมีนายกรัฐมนตรีชื่อพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา มาแก้ปัญหาและพัฒนาประเทศให้มีความเจริญก้าวหน้าต่อไป มาช่วยให้กำลังใจแก่ท่านด้วยการช่วยเผยแพร่ผลงานของท่านให้เป็นที่รับรู้ของคนไทยไปทั่วประเทศนะคะ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ยโสโอหังไม่ฟังใคร ไม่สนใจกระแส...คิดว่าแจงได้

อ่อนอกอ่อนใจจริงๆ กับสถานการณ์บ้านเมืองเวลานี้ ตั้งแต่ถ้อยคำ วาจา ท่าที ลีลาการหาเสียงของคนที่ถูกวางตัวว่าวันหนึ่งจะได้เป็นผู้นำประเทศ ตะโกนด้วยสุ้มเสียงมั่นอกมั่นใจในสิ่งที่พูด ท

สูตรแต่งตั้งตำรวจ

กว่าจะเคาะ กว่าจะคลอด ก็นั่งนับนิ้วกันแทบหงิก เพราะ 180 วัน ตามเงื่อนไขการบังคับใช้กฎ ก.ตร.ว่าด้วยการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ พ.ศ. 2567

'ดร.เสรี' ข้องใจ 'นักโทษทิพย์' หายป่วยทิพย์กระทันหัน หรือต้องการเย้ยไยไพ

ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการด้านตลาดและการสื่อสาร โพสต์เฟซบุ๊กว่า ผู้คนจำนวนมากสงสัยอาการป่วยไข้ การได้อยู่ห้อง VV

ดร.เสรี สงสัยผู้ใหญ่วัยเกิน 35 ทำไมเป็น 3 กีบ

ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการด้านการตลาดและการสื่อสาร โฟซบุ๊กว่า เด็กๆเป็น 3 กีบพอเข้าใจได้ว่าเขาความรู้น้อย ประสบการณ์น้อย วุฒิภาวะยังไม่ดีพอ ข้อมูลน้อย จึงถูกครอบงำด้วยความเท็จง่าย