"ปิยบุตร"ถึงก้าวไกล

ใจเย็นๆ

นี่มันหน้าเลือกตั้งครับ

ฉะนั้นอะไรที่นักการเมืองประกาศออกมา เขาเอาไว้สู้ในสนามเลือกตั้ง ได้ไม่ได้ก็อีกเรื่อง แต่การแสดงท่าทีมันต้องชัดเจน

มัวอำอึ้งไม่ได้

ใครจะประกาศตัวพร้อมเป็นนายกรัฐมนตรี จะจัดตั้งรัฐบาลก็ว่ากันไป

ก่อนเลือกตั้งทุกพรรคเท่ากันหมด ประกาศได้ทั้งนั้น

แต่เลือกตั้งเสร็จ ผลการเลือกตั้ง จะเป็นตัวกำหนดว่า ใครเป็นพระเอก พระรอง

พรรคการเมืองไหนจะได้เป็นแกนนำรัฐบาล

ใครจะได้เป็นนายกฯ

แต่ ณ เวลานี้ ฟังหูไว้หู เอาเป็นข้อมูลตอนเข้าคูหาเลือกตั้ง              

ในแง่ของการเตรียมความพร้อม ทุกพรรคการเมืองต้องแข่งกัน

ไอ้เรื่องพร้อมไม่พร้อม ชาวบ้านเห็นนะครับ และเขาเอาเรื่องนี้ไปเป็นข้อตัดสินใจจะเลือกใคร

โดยเฉพาะการเมืองแบบขั้วแบบนี้ พรรคพระรองอาจเสียเปรียบหากไม่สร้างความพร้อมให้ตัวเอง

วานนี้ (๒๗ ธันวาคม) "อนุทิน ชาญวีรกูล" ให้สัมภาษณ์สร้างความคึกคักให้พรรคภูมิใจไทยและกองหนุนได้มากโขทีเดียว

"...ย้ำว่า พรรคภูมิใจไทยมีแนวทางของตัวเองอยู่แล้ว ซึ่งหวังว่าครั้งนี้ จะขยับจากพรรคเล็ก พรรคกลาง เป็นพรรคขนาดใหญ่ และจะขอเป็นผู้กำหนดเกมบ้าง ไม่ใช่เป็นพรรคที่คอยดูว่าพรรคอื่นทำอะไรบ้างเราไปจอดแล้วไปจอยไปจับกับเขา

เพราะทำพรรคมาขนาดนี้ มีความพร้อมและมีสมาชิกพรรคมาสมัครมากมาย ทั้ง ..ที่ยอมลาออกจากพรรคเดิม มาร่วมงาน ซึ่งเป็นทิศทางที่แสดงให้เห็นว่า ภูมิใจไทยพร้อมที่จะเป็นแกนนำ จัดตั้งรัฐบาลซึ่งไม่ใช่การจองแต่เป็นเพียงการนำเสนอนโยบายและแสดงความพร้อม แสดงเจตนารมณ์ที่ชัดเจน พูดแล้วทำ จะทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ให้กับประชาชนได้พิจารณา

หากเห็นว่าสิ่งที่พรรค ภูมิใจไทยทำมีประโยชน์เขาก็เลือกให้เราทำหน้าที่ ไม่มีอะไรที่ซับซ้อน...”

ภูมิใจไทยเป็นอีกพรรคการเมืองหนึ่งที่มีส.ส.ไหลเข้าจำนวนมาก ณ เวลานี้ น่าจะมากที่สุด

ก็ไม่แปลกที่ "อนุทิน" จะประกาศขอเป็นคนกำหนดเกมบ้าง          

เพราะโอกาสเป็นพรรคอันดับหนึ่งของขั้วรัฐบาลเดิม ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

ขณะที่พลังประชารัฐ รวมไทยสร้างชาติ ยังต้องเพิ่มความชัดเจนให้มากกว่าที่เป็นอยู่

อีกพรรคที่ดูเหมือนเตรียมความพร้อมอยู่ตลอดเวลา แต่ก็เหมือนย่ำอยู่กับที่ อาจเป็นเพราะหาความแปลกใหม่ไม่ได้

ยังคงเล่นกับมุกเดิมๆก่อนหน้านี้ ซึ่งก็สร้างความกังขา และแตกแยก ไปมากพอสมควร

คือพรรคก้าวไกล

ขนาด "ปิยบุตร แสงกนกกุล" ต้องเขียนถึงแบบยาวๆ  พรรคก้าวไกลกับการเลือกตั้ง ๒๕๕๖๖ จะกลายเป็นพรรคที่เล็กลง

....สู้ในระบบเลือกตั้งที่พรรคก้าวไกลเสียเปรียบ

พรรคใหญ่ฝ่ายรัฐบาลและพรรคใหญ่ฝ่ายค้านมีฉันทามติร่วมกันว่าต้องแก้ไขระบบเลือกตั้ง จากเดิมทุกคะแนนมีความหมายนำไปคำนวณเป็นที่นั่ง ส.ส.และจำนวนคะแนนเสียงทั่วประเทศสอดคล้องกับจำนวนที่น้่ง ส.ส. มาเป็น แข่งกันในเขตเลือกตั้งเอาที่หนี่งคนเดียวรวม ๔๐๐ ที่นั่ง เหลืออีก ๑๐๐ ที่นั่งมาจากการคำนวนคะแนนสัดส่วนทั่วประเทศ

พรรคที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดกับการเปลี่ยนแปลงระบบเลือกตั้งครั้งนี้ คือ พรรคก้าวไกล เพราะ ฐานคะแนนของผู้นิยมพรรคก้าวไกลกระจายออกไปทั่วประเทศ ไม่ได้ฝังอยู่ในพื้นที่เขตเลือกตั้งใดเลือกตั้งหนี่งโดยเฉพาะ และส่วนใหญ่ ผู้ลงคะแนนเสียงให้พรรคก้าวไกล น่าจะเป็นเรื่องเชิงประเด็น นโยบาย มากกว่าตัวบุคคลผู้สมัครในพื้นที่ นอกจากนี้ พรรคก้าวไกลเป็นพรรคใหม่ ผ่านการเลือกตั้งมาหนึ่งครั้ง ไม่ได้มีเครือข่ายหัวคะแนนหรือเครือข่ายเชิงอุปถัมภ์ในพื้นที่ ดังนั้น การชนะเลือกตั้งในเขตในจำนวนมาก กวาดยกจังหวัด กวาดหลายๆเขตหลายๆจังหวัดในภาคต่างๆ จึงแทบเป็นไปไม่ได้ในระยะเวลาอันใกล้นี้...

...พรรคอนาคตใหม่ได้คะแนนรวมทั่วประเทศประมาณ ๖.๓ ล้านเสียง การเลือกตั้งในปี ๒๕๖๖ พรรคก้าวไกลต้องทำให้ได้มากกว่าเดิม ส่วนจะคำนวณเป็น ส.ส.แล้วได้กี่ที่นั่งนั้น แน่นอนว่าจำนวนน้อยลงกว่าเดิมอยู่แล้ว เพราะ ระบบเลือกตั้งเปลี่ยนไป...

...การเลือกตั้งในปี ๒๕๖๖ คงไม่มีอุบัติเหตุแบบกรณียุบพรรคไทยรักษาชาติ และทุกพรรคการเมือง “เอาจริง” ไม่มีใครประมาทพรรคก้าวไกลอีกแล้ว การต่อสู้ในระบบแบ่งเขต ๔๐๐ คน จะเข้มข้นมากกว่าเดิม แต่ละพรรคมุ่งหวังกับการมี สส เขต เพราะ หากไปลุ้นบัตรใบที่สองให้มี สส แบบบัญชีรายชื่อ ก็ไม่มีหลักรับประกันแน่นอนว่าจะได้หรือไม่ ได้มาจำนวนเท่าไร...

...ประกอบกับพรรคเพื่อไทยชูคำขวัญ “แลนด์สไลด์” ย่อมทำให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ต้องการเปลี่ยนรัฐบาล ไม่ต้องการให้นายกรัฐมนตรีชื่อประยุทธ์อีกต่อไป แม้พวกเขาอาจเอาใจช่วยพรรคก้าวไกลอยู่ แต่ก็พร้อมที่จะเลือกพรรคเพื่อไทย เพราะเห็นว่า มีความเป็นไปได้มากกว่าที่พรรคเพื่อไทยจะชนะได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล หากไม่เทคะแนนให้พรรคเพื่อไทย สุดท้าย เราจะไม่ได้เปลี่ยนรัฐบาล ไม่ได้เปลี่ยนนายกรัฐมนตรี...

ความเข้าใจของ "ปิยบุตร" ไม่ต่างหากเกจิการเมืองเข้าใจสักเท่าไหร่

เลือกตั้งครั้งนี้จะต่างจากปี ๒๕๖๒ ค่อนข้างมาก ทั้งในแง่กติกา และความจริงทางการเมือง

พรรคอนาคตใหม่ได้อานิสงค์จากการยุบพรรคไทยรักษาชาติ

เพราะการเลือกตั้งปี ๒๕๖๒ พรรคเพื่อไทย กับพรรคไทยรักษาชาติ ฮั้วพื้นที่เลือกตั้งกัน

เขตไหนที่พรรคเพื่อส่งผู้สมัครส.ส. พรรคไทยรักษาชาติไม่ส่ง

เช่นเดียวกันเขตเลือกตั้งไหนที่พรรคไทยรักษาชาติส่งผู้สมัครส.ส. พรรคเพื่อไทยไม่ส่ง

คะแนนของพรรคไทยรักษาชาติจึงถูกเทให้พรรคอนาคตใหม่

แต่เลือกตั้งครั้งนี้ พรรคก้าวไกลต้องยืนบนลำแข้งตัวเองล้วนๆ

และยังต้องเจอกับกติกาใหม่ เลือกตั้งบัตร ๒ ใบ หาร ๑๐๐

ทิ้งเสียงตกน้ำ!

จึงไม่ง่ายที่ผู้สมัครเลือกตั้งหน้าใหม่จะได้รับการรับเลือกเหมือนเมื่อปี ๒๕๖๒

เพราะทุกพรรคเอาจริง

บวกกับการที่พรรคเพื่อไทยปั่นกระแสแลนด์สไลด์ ซึ่งกระทบกับพรรคก้าวไกลโดยตรง

ก็ลองดูครับว่าหลังจากนี้กระแสไหนจะมาแรงกว่ากัน

ระหว่าง ไม่อยากให้ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ ต้องเทคะแนนให้เพื่อไทย  เพื่อ "อุ๊งอิ๊ง" ขึ้นแท่นนายกรัฐมนตรี

หรือเลือกก้าวไกลเพื่อ "พิธา" เป็นนายกฯแทน พล.อ.ประยุทธ์

ครับ...การเมือง ๒ ขั้ว ยังต้องมีผู้นำขั้วที่ชัดเจน

แต่พรรคการเมืองต้องสร้างความชัดเจนให้ตัวเอง ก่อนที่จะพูดไปถึงความชัดเจนของขั้วการเมือง

มีพรรคไหนที่ชัดเจนบ้างแล้วครับ?

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ตายหมู่ไปกับ 'ดิจิทัลวอลเล็ต'

ในที่สุดก็ชัดเจน ถือเป็นความรับผิดร่วมกันของคณะรัฐมนตรี โดยมิอาจมีใครปฏิเสธในภายหลังได้เลยว่า ไม่มีส่วนรับรู้กับนโยบายแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต ให้ประชาชนหัวละ ๑ หมื่นบาท ด้วยงบประมาณกว่า ๕ แสนล้านบาท

มันมากับความเงียบ

งานเลี้ยงใกล้เลิกรา... สมาชิกวุฒิสภาชุดปัจจุบันจะหมดวาระลงเดือนพฤษภาคมนี้แล้วครับ

แผนแทรกแซงกองทัพ

ก็ยังไม่เห็นว่าหน้าตาชัดๆ เป็นอย่างไร หมายถึงกฎหมายต้านการปฏิวัติรัฐประหารครับ

ประชาธิปไตยแบบไทยๆ

นักการเมืองคนไหนที่บอกว่า "รวยพอแล้ว" อย่าไปเชื่อ เพราะถ้าพอจะไม่แสวงอำนาจการเมือง

นายทุนก้าวไกล

เริ่มต้นด้วยเรื่องเงินๆ ทองๆ วานนี้ (๑๗ เมษายน) สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) สรุปยอดเงินบริจาคของพรรคการเมือง ประจำเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๗ ทั้งสิ้น ๑๓ พรรคการเมือง