คิดกันยังไง...เมืองไทยถึงเป็นเช่นนี้

ประเทศไทยที่ผ่านมา ประเทศไทยมีชาวคณะหลวงประดิษฐ์วาทกรรมแข่งขันกับชาวคณะขุนผลาญทรัพย์อับปัญญา

คณะหนึ่งก็ขยันประดิษฐ์วาทกรรมเพราะๆ ฟังดูยิ่งใหญ่ แต่ไร้แก่นสาร บางวาทกรรมก็ลอกเขามา บางวาทกรรมก็บิดเบือน บางวาทกรรมก็โกหก พวกเขาเป็นชาวคณะที่ฝรั่งบอกว่า feel free to lie คือโกหกด้วยความสบายใจ ไม่รู้สึกผิดแต่อย่างใด สิ่งที่พวกเขาต้องการคือ “อำนาจ” เป้าหมายของเขาก็คือเพื่อจะเปลี่ยนแปลงประเทศให้เป็นไปตามที่พวกเขาต้องการ ทำลายความมั่นคงของประเทศ

อีกคณะหนึ่งก็แสวงหาความนิยมด้วยการหว่านโครงการประชานิยม ด้วยการคิดจะผลาญงบประมาณของประเทศ อยากได้อำนาจ คิดอะไรไม่ออกก็เอาแต่ “แจก” เพราะไม่ใช่เงินของตัวเอง แม้แต่เจ้าของคณะ ยังเคยเอ่ยปากเลยว่าการแจกเงินให้ชาวบ้านเป็นความโง่เขลาเบาปัญญา เพราะคนที่มีปัญญา คิดเป็น ทำงานเป็น เขาย่อมมีหนทางในการสร้างคะแนนนิยมด้วยวิธีการอื่นที่เป็นประโยชน์กับประเทศชาติและประชาชน ไม่ใช่คิดถึงแต่ประโยชน์ส่วนตน คิดอะไร ทำอะไร ก็มีวาระซ่อนเร้น มีผลประโยชน์ทับซ้อนอยู่ร่ำไป จนทำให้ผู้คนเคลือบแคลงระแวงสงสัยไปทุกเรื่องที่คิดจะทำ

หากเราจะต้องเลือกระหว่างสองคณะนี้ให้มาทำงานให้กับเรา ก็ดูเหมือนจะเป็นการเลือกที่ยากหน่อยนะ เพราะรายหนึ่งก็เหมือนเสือที่พร้อมจะตะปบ ฉีกเนื้อพวกเรา ด้วยความเป็นคนหยาบช้านิยมความรุนแรง พูดแต่เรื่องสงคราม พูดแต่เรื่องของการทำลาย หากให้พวกเขาเป็นใหญ่ ประเทศไทยคงจะไม่เหมือนเดิม มันคงมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น แต่จะเปลี่ยนไปในทางที่เรียกว่า “พัฒนา” หรือว่าจะเป็นการเปลี่ยนไปในทางที่เรียกว่า “เสื่อม” แม้ว่าจะมีประชาชนส่วนหนึ่งมองเห็นฉากทัศน์ของการเปลี่ยนแปลงด้วยความเป็นห่วง แต่ก็ยังมีประชาชนอีกส่วนหนึ่งที่หลงใหลกระแสของการเปลี่ยนแปลง โดยไม่ได้สนใจรายละเอียดว่าประเทศชาติจะเปลี่ยนแปลงไปในรูปแบบใด ในที่สุดพวกเราก็ต้องเผชิญกับปัญหาที่น่าห่วงใย เพราะพวกเขาที่เป็นหลวงประดิษฐ์วาทกรรม ก็ยังคงตั้งหน้าตั้งตาประดิษฐ์วาทกรรมสร้างกระแสความนิยมอย่างต่อเนื่อง และก็ประสบความสำเร็จในการสร้างอุปทานหมู่ในสังคม กระจายไปทุกหมู่เหล่า ทุกเพศ ทุกวัย ทุกวงการ

กระแสที่ว่านั้นก็คือ กระแสของ “ความต้องการให้มีการเปลี่ยนแปลง” เพราะมีการปลุกระดมเรื่องการเลือกของเก่า กระแส “ประชาธิปไตย ความมีเสรีภาพที่จะทำอะไรได้ตามใจ” จนทำให้พวกเขามีพฤติกรรมในการทำตามอำเภอใจด้วยการอ้างสิทธิเสรีภาพ แม้แต่การทำผิดกฎหมาย พวกเขาก็จะอ้างว่ากฎหมายนั่นแหละผิดที่จำกัดสิทธิ์ของพวกเขา ละเมิดสิทธิ์ของพวกเขา จนกระทั่งทำให้เกิดการชุมนุมที่เต็มไปด้วยความก้าวร้าวและรุนแรง ทำผิดกฎหมาย ทำให้โดนคดีกันเป็นจำนวนมาก แล้วก็ประดิษฐ์วาทกรรมว่าโดนกลั่นแกล้งด้วย “นิติสงคราม” ที่หมายความว่าภาครัฐใช้กฎหมายกลั่นแกล้งประชาชนที่คิดต่าง ทั้งๆ สิ่งที่พวกเขาทำนั้น มันไม่ใช่การคิดต่าง แต่มันเป็นการทำผิดคิดชั่วที่ขัดต่อกฎหมาย ถ้าไม่ทำผิดกฎหมาย ใครจะไปทำอะไรเขาได้

อีกคณะหนึ่ง ก็มีพฤติกรรมเหมือนตัวกินไก่ที่มักจะแอบขโมยลากไก่ไปกินในน้ำ ทำอะไรก็ไม่ตรงไปตรงมา ไม่ว่าจะทำอะไร ผู้คนจำนวนมากก็จะไม่สบายใจ เพราะเรื่องราวในอดีตของชาวคณะนี้ไม่โปร่งใส ทำอะไรก็คดในข้อ งอในกระดูก มีผลประโยชน์ทับซ้อน DNA ของหัวหน้าคณะที่ทำอะไรตรงไปตรงมาไม่เป็นมีความเข้มแข็งมาก ที่สำคัญก็คือหัวหน้าคณะมีอำนาจมากเหลือเกิน จนเจ้าตัวเปรียบลูกน้องในคณะว่าเป็นหมา ส่วนตัวเองเป็นเจ้าของคอกหมา ลูกน้องก็ทำตัวเหมือนผีรับจ้างโม่แป้ง อะไรผิด อะไรถูก ไม่สนใจทั้งนั้น พร้อมที่จะทำตามคำสั่งของหัวหน้าคณะ เพื่ออำนาจบ้าง เพื่อตำแหน่งบ้าง เพื่อทรัพย์สินเงินทองบ้าง จนเป็นเรื่องที่หลายคนสงสัยว่า ถ้าหากประชาชนคนทั่วไปมองเห็นว่าหัวหน้าคณะนี้เลวเช่นไร ทำไมลูกน้องในคณะมองไม่เห็น หรือว่าความโลภ ความทะเยอทะยานมันบังตา มันทำลายต่อมจริยธรรมแหลกลาญไปหมดแล้ว ยอมทำตามคำสั่งจนต้องติดคุกติดตะรางกันไปหลายคน แต่ที่เหลือก็ไม่เห็นว่าจะมีใครได้บทเรียนกันสักกี่คน

ต้องยอมรับว่า ทั้งสองคณะนี้เขามีความสามารถในการจูงใจให้ประชาชนพอใจเขา เมื่อถึงเวลาที่จะให้มีการเลือกหาคนมาเป็นผู้นำ ไม่ว่าจะมีคนเก่ง คนดีในคณะอื่นมาเสนอตัวเป็นทางเลือก ประชาชนก็ไม่เลือก ยังคงพอใจที่จะเลือกคณะใดคณะหนึ่งของสองคณะนี้ แม้ว่าตัวเลือกของคณะอื่นจะมีคุณสมบัติดีกว่าแค่ไหน ประชาชนก็ไม่เลือก ไม่รู้ว่าพวกเขาคิดอย่างไรกัน เขาเอาข้อมูลอะไรมาคิด เขาใช้มาตรการอะไรในการเลือก เขาเลือกด้วยเหตุผลที่ดีพอ หรือเลือกด้วยอารมณ์ เอาความ “ชอบ” เป็นที่ตั้ง โดยไม่สนใจคุณสมบัติใดๆ ทั้งสิ้น

อันที่จริงข่าวคราวเรื่องราวของทั้งสองคณะนี้เป็นเช่นไร แกนนำของคณะทำอะไรเอาไว้บ้าง ก็มีให้เห็นเป็นข่าวอยู่มากมาย พวกเขาไม่เคยได้ยินได้ฟังกันเลยหรือไร หรือว่าได้ยินแต่ไม่เชื่อ หรือไม่สนใจข่าวเหล่านั้น สนใจแต่ว่าคณะไหนจะมีประโยชน์อะไรมาให้ คณะอื่นเขานำเสนอเรื่องราวที่เป็นจริงได้ ปฏิบัติได้ ไม่โกหก ไม่ขายฝัน แต่ประชาชนไม่สนใจเท่ากับสิ่งที่สองคณะที่ว่านี้สัญญาว่าจะให้โน่นให้นี่ ทั้งๆ ที่จะเอาสิ่งที่จะให้มาจากไหนก็ยังไม่รู้เลย ขี้โม้ไปก่อนก็แล้วกัน แต่ก็แปลกนะ จะขี้โม้อย่างไร โกหกอย่างไร ก็ยังมีประชาชนจำนวนหนึ่งพร้อมที่จะเชื่อ และก็เลือกคนของคณะใดคณะหนึ่งในสองคณะนี้มาเป็นผู้นำ แบบนี้ไม่รู้ว่าถ้าหากจะมองคนที่เลือกเพราะอยากได้ผลประโยชน์ที่พวกเขาเสนอให้โดยไม่สนใจว่าผลลัพธ์สำหรับประเทศชาติจะเป็นเช่นไร ว่าเป็น “คนเห็นแก่ตัว” ได้หรือไม่ พวกเขาจำสิ่งเลวร้ายที่ชาวคณะทั้งสองนี้ทำไว้ไม่ได้เลยหรือ นี่แหละที่มีคนเขาว่า “เจ็บแล้วจำคือคน เจ็บแล้วยังทนคือควาย”

อยากจะตั้งคำถามว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญชะตากรรมเช่นนี้ ถ้าจะแบ่งสัดส่วนของการมีส่วนเป็นต้นเหตุ เราจะให้กลุ่มคนเหล่านี้กลุ่มละกี่เปอร์เซ็นต์ 1) ชาวคณะบางคนที่เลว ต้องการมาเป็นผู้มีอำนาจเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน ทั้งทางการเมือง และทางเศรษฐกิจ โกงชาติโกงแผ่นดิน 2) ประชาชนที่เลือกชาวคณะที่เลว เพราะหลงไปตามกระแส ไม่รู้สี่รู้แปดอะไรทั้งนั้น ต้องการแต่ผลประโยชน์ที่ชาวคณะเขาสัญญาว่าจะให้ โดยไม่สนใจผลเสียใดๆ ที่จะเกิดกับประเทศชาติ 3) ข้าราชการบางคนที่เลวไปเข้าข้าง ช่วยเหลือ ชี้ช่อง ให้ชาวคณะที่เป็นคนเลว สามารถทำสิ่งผิดคิดชั่วกับประเทศชาติได้นักการเมืองเลว 4) นักวิชาการบางคนที่เชียร์ชาวคณะที่เป็นคนเลว หวังว่าเขาจะให้ตำแหน่ง หรือให้เป็นที่ปรึกษา หรือเป็นคนหิวแสง ต้องการให้คนสนใจความคิดเห็นของตน 4) สื่อมวลชนบางคน บางสำนักที่ทำข่าวสร้างกระแสความนิยมให้ชาวคณะ

พวกเราต้องผิดหวัง ตกใจว่าทำไมเราจึงต้องเจอปัญหาอย่างที่เป็น ฤา กระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย น้ำเต้าน้อยจะถอยจม ทั้งนี้ทั้งนั้น มันน่าจะมาจากความ "เห็นแก่ตัว" โดยไม่สนใจที่จะ "เห็นแก่ชาติ" ของผู้คนที่คิดน้อย จิตสาธารณะ สำนึกรักชาติหายไปไหนหมดคะ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

อริยสัจ 4...หลักการดีที่ควรใช้

ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีผู้คนนับถือศาสนาพุทธมากกว่า 92% และในคำสอนของศาสนาพุธก็มีอริยสัจ 4 เป็นหลักที่ใช้ในการแก้ปัญหาที่ยุ่งเหยิงไปสู่ความสงบ

โชคดี...ที่ตายก่อน!!!

เห็นข่าวคราวว่าด้วย หลานสาว ชาวไทยรายหนึ่ง...ซึ่งน่าจะเป็นปุถุชนคนธรรมดา ไม่ได้โดดเด่น โด่งดัง ใดๆ มาก่อนเลย แต่เมื่อเธอโพสต์คลิปวิดีโอ โดยตัวเธอเองนั่ง

ปรับฮวงจุ้ยหรือ?

ไม่รู้จะเป็นเรื่องฮวงจุ้ยหรือกลัวฟ้า กลัวฝน กลัวไฟจะชอร์ตกันแน่ เพราะตั้งแต่ ผบ.ต่อ-พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล แม่ทัพใหญ่สีกากี กลับเข้ามาปฏิบัติหน้าที่

หรือจะรอให้ประเทศไทยเป็นรัฐล้มเหลว

สถานการณ์บ้านเมืองของไทยเรามีอาการน่าเป็นห่วง เพราะคนรักชาติที่มีอยู่มากกว่าคนชังชาติทำอะไรไม่ได้ กลายเป็นคนหมู่มากที่นิ่งเฉย (Passive Majority) ทำได้อย่างมากก็คือ