
27 พ.ย.นี้จะเป็นวันลอยกระทงของประเทศไทย เทศกาลที่หลายๆ คนรอคอย เพราะถือเป็นการร่วมสืบสานประเพณีไทยที่มีมาอย่างช้านาน และยังได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศ ทั้งยังถือเป็น Soft Power อีกอย่างหนึ่งที่จะสนับสนุนการท่องเที่ยวให้เพิ่มมากขึ้นในช่วงท้ายปี โดยในงานลอยกระทงของแต่ละที่นั้นจะมีกิจกรรมที่แตกต่างกันไป แต่จุดมุ่งหมายหลักคือ การนำกระทงไปลอยในแหล่งน้ำ ตามความเชื่อว่าเป็นการขอขมาแม่พระคงคา และอีกมุมมองหนึ่งเป็นการลอยเพื่อปล่อยความทุกข์และสิ่งไม่ดีให้ไหลไปตามน้ำเพื่อเตรียมต้อนรับสิ่งดีๆ ก่อนวันขึ้นปีใหม่
แม้ว่าปัจจุบันการลอยกระทงลงในแหล่งน้ำอาจจะถูกมองว่าเป็นปัญหาทางด้านสิ่งแวดล้อม เนื่องจากจะสร้างขยะให้เพิ่มมากขึ้น และสร้างมลพิษต่อแหล่งน้ำนั้นๆ แต่ก็ยังไม่สามารถที่จะเลิกกิจกรรมนี้ได้จากความเชื่อและความคิดเห็นของคนบางกลุ่ม เนื่องจากเป็นการสร้างอาชีพ สร้างรายได้ และยังกระตุ้นเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจได้อย่างดี ซึ่งการแก้ปัญหาเบื้องต้นอาจจะยังไม่ใช่การเลิกลอยกระทงในแหล่งน้ำ แต่อาจจะต้องไปดูแลและปรับเปลี่ยนในกระบวนการอื่นๆ แทน อย่างเช่น เรื่องของการเลือกใช้วัตถุดิบในการผลิตกระทงที่จะส่งผลกระทบต่อแหล่งน้ำ
โดยที่ผ่านมาในปี 2565 สำนักสิ่งแวดล้อม กรุงเทพมหานคร (กทม.) ได้มีการรายงานจำนวนกระทงที่เก็บได้ ปี 2565 มีจำนวน 572,602 ใบ เพิ่มขึ้นจากปี 2564 ที่จัดเก็บได้ 403,203 ใบ เพิ่มขึ้นจำนวน 169,367 ใบ คิดเป็น 42% โดยประเภทที่จัดเก็บได้ทำจากวัสดุธรรมชาติ 548,086 ใบ หรือ 95.7% และทำจากโฟม 24,516 ใบ หรือ 4.3% และจากข้อมูลแสดงให้เห็นว่ากระทงจากวัสดุธรรมชาติที่ย่อยสลายได้เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2564 มีสัดส่วนลดลงจาก 96.5% เป็น 95.7% ส่วนสัดส่วนของโฟมเพิ่มขึ้นจาก 3.5% เป็น 4.3% ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าจับตามองที่สุด เพราะในส่วนนี้อาจจะยังเป็นบ่อปัญหาที่ทำให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้
ซึ่งในปี 2566 นี้เอง เทศกาลลอยกระทงยังเป็นงานที่น่าจับตามองอย่างมากว่าจะสามารถกระตุ้นเม็ดเงินในเศรษฐกิจได้มากน้อยเพียงใด เนื่องจากสถานการณ์บ้านเมืองในไทยเริ่มกลับมาสู่ภาวะปกติ สถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย ทำให้ประชาชนในสังคมเริ่มกลับมาทำกิจกรรมต่างๆ ได้เทียบเท่ากับช่วงก่อนเกิดโควิดแล้ว หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงต้องออกมาพิจารณาแผนงานที่จะช่วยดูแลให้ในช่วงเทศกาลปีนี้เดินหน้าต่อไปได้อย่างราบรื่น
ขณะเดียวกัน ปัญหาการสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมก็ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด โดยที่ผ่านมากระทรวงอุตสาหกรรมได้ออกมากล่าวถึงการเลือกใช้วัสดุในการทำกระทง โดยนางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า วอนให้ประชาชนเลือกใช้กระทงที่ได้มาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน (มผช.) จากกลุ่มวิสาหกิจชุมชนต่างๆ เพื่ออนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ของไทย ซึ่งนอกจากจะช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังเป็นการอุดหนุนสินค้าไทยและกระตุ้นให้เกิดการหมุนเวียนเศรษฐกิจในระดับชุมชนด้วย
“กระทงจากวัสดุธรรมชาติที่ผลิตโดยผู้ผลิตชุมชนที่ผ่านการรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน เป็นสินค้าที่กระทรวงอุตสาหกรรมให้การรับรองว่าเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีความประณีตสวยงาม ไม่มีกลิ่นสารเคมี สามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ สำหรับบางพื้นที่ที่มีประเพณีการปล่อยโคมลอยในเทศกาลลอยกระทง ก็ขอแนะนำให้ปล่อยโคมลอยที่ได้มาตรฐาน มผช.ด้วย รวมทั้งให้ยึดถือปฏิบัติตามประกาศมาตรการป้องกันและการรักษาความปลอดภัยของส่วนราชการในพื้นที่อย่างเคร่งครัด” นางสาวพิมพ์ภัทรากล่าว
ทั้งนี้ ด้านนายวันชัย พนมชัย รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม รักษาราชการแทนเลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้มีผู้ผลิตกระทงเปลือกข้าวโพดที่ได้มาตรฐาน มผช. จำนวน 7 ราย ได้แก่ 1.กลุ่มแม่บ้านเกาะพิมูลพัฒนา 2.นางสตรีรัตน์ ชูอินทร์ 3.กลุ่มกระทงแฟนซีจากเปลือกข้าวโพด 4.นางเตือนคนึง ราชา 5.วิสาหกิจชุมชนผู้ผลิตกระทงตำบลลานดอกไม้ตก 6.กลุ่มกระทงเปลือกข้าวโพดบ้านลานดอกไม้ตกหมู่ที่ 1 และ 7.นางวิรัตน์ ทวนธง และมีผู้ผลิตโคมลอยที่ได้มาตรฐาน มผช. จำนวน 1 ราย ได้แก่ นางชไมพร วงศ์สถาน
จึงขอเชิญชวนประชาชนคนไทยร่วมกันสนับสนุนสินค้าไทย เพื่อกระจายรายได้และสร้างความยั่งยืนให้กับสินค้าชุมชน เนื่องจากกระทงจากวัสดุธรรมชาติที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน มผช. เป็นสินค้าที่ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม มีความประณีต สวยงาม ไม่มีกลิ่นสารเคมี และย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ.
ณัฐวัฒน์ หาญกล้า
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ผนึกพลังพัฒนากำลังคน
ท่ามกลางแรงกดดันจากเศรษฐกิจโลก เทคโนโลยีที่เปลี่ยนเร็ว และการแข่งขันด้านต้นทุนที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ คำถามสำคัญของอุตสาหกรรมไทยไม่ใช่เพียง “จะผลิตอย่างไรให้ได้มากขึ้น” แต่คือ “จะสร้างคนและองค์ความรู้แบบใดให้ยืนระยะในเวทีสากลได้จริง”
ปีใหม่เป้าลดอุบัติเหตุ 5%
ช่วงเทศกาลปีใหม่ถือเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขที่ประชาชนจำนวนมากออกเดินทางกลับภูมิลำเนาและท่องเที่ยว ส่งผลให้ปริมาณการใช้รถใช้ถนนเพิ่มสูงขึ้นเป็นเท่าตัว และมักตามมาด้วยความเสี่ยงด้านอุบัติเหตุทางถนน
เมื่อสุขภาพคือความลักชัวรีแบบใหม่
ในยุคที่ผู้คนต่างก็ให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพ ทำให้เทรนด์นี้ยังคงมาแรงต่อเนื่อง ซึ่งก็มีข้อมูลที่น่าสนใจจากวิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU) กับข้อมูลสุดอินไซต์ “ภูมิทัศน์การดูแลสุขภาพของคนไทย” รับเทรนด์เศรษฐกิจอายุยืน
องค์กรต้องกล้าเปลี่ยนผ่าน
ท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลกและแรงกดดันด้านความยั่งยืนที่เข้มข้นขึ้น ทำให้ภาคธุรกิจต้องปรับตัวรองรับกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ซึ่ง สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA)
แรงงานคืนถิ่น:ทางเลือกที่เป็นโอกาส
‘การเคลื่อนย้ายแรงงาน’ จากภูมิลำเนาเข้าสู่จังหวัดเศรษฐกิจเป็นปรากฏการณ์สำคัญที่ส่งผลต่อโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมของประเทศมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มคนทำงานตอนต้น ซึ่งเป็นกำลังแรงงานสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนา อย่างไรก็ตาม
ดันไทย-ญี่ปุ่นปักธงอุตสาหกรรม
ในภูมิทัศน์เศรษฐกิจโลกปัจจุบันที่ขับเคลื่อนด้วยการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว และเป้าหมายด้านความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม ความสามารถของประเทศในการปรับตัวและสร้างพันธมิตรที่แข็งแกร่งในอุตสาหกรรมแห่งอนาคตถือเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง ประเทศไทยในฐานะฐานการผลิตหลักในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องยกระดับโครงสร้างอุตสาหกรรมไปสู่ยุคใหม่ที่เน้นมูลค่าสูงและมาตรฐานที่เข้มงวด

