แก้หนี้นอกระบบทำได้จริงหรือ?

เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรีของนายเศรษฐา ทวีสิน จัดหนักจัดเต็มแจกแบบจุกๆ ถึง 3 เรื่องสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการแจกเงินอุ้มชาวนาไร่ละ 1,000 บาท จำนวน 4.68 ล้านครัวเรือน เรื่องที่ 2 คือการปรับขึ้นเงินเดือนของข้าราชการบรรจุใหม่ปีละ 10% จากเดือนละ 15,000 บาท เพิ่มเป็น 18,000 บาท และเรื่องใหญ่ที่สุดที่รัฐบาลประกาศเป็นวาระแห่งชาติคือ การแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ ซึ่งมีการบูรณาการทุกหน่วยงานเข้ามาจัดการในเรื่องนี้

อย่างที่ทราบ งานหนักของรัฐบาลเศรษฐาในเวลานี้ต้องเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจที่โตแบบซึมๆ จนรัฐบาลออกมายอมรับว่าไทยกำลังเจอปัญหาทางเศรษฐกิจ ซึ่งมีสาเหตุมาหลายปัจจัย โดยเฉพาะเรื่องของเงินในกระเป๋าประชาชน ที่ยังอยู่ในสถานะ "กระเป๋าแบน" ไม่มีเงินใช้จ่าย จนหลายคนต้องหันไปหาแหล่งเงินอื่นๆ มาประคองชีวิต ซึ่งมีทั้งการกู้ยืมในระบบและนอกระบบ

สอดคล้องกับข้อมูลที่ทางสํานักงานพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) ออกมาแถลงภาวะสังคมเมื่อช่วงต้นสัปดาห์ พบว่า หนี้ครัวเรือนในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้มีมูลค่าสูงถึง 16.07 ล้านล้านบาท ขยายตัว 3.6 เปอร์เซ็นต์ เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยมีสัดส่วนหนี้สินครัวเรือนต่อจีดีพีอยู่ที่ 90.6 เปอร์เซ็นต์ 

ขณะที่ความสามารถชำระหนี้ของครัวเรือนก็ลดลงเล็กน้อย โดยเอ็นพีแอล หรือหนี้เสีย มีมูลค่า 1.47 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 2.68 เปอร์เซ็นต์ จากไตรมาสก่อน คิดเป็นสัดส่วน 2.71 เปอร์เซ็นต์ต่อสินเชื่อรวม

จากข้อมูลเห็นได้ชัดว่า ตอนนี้ประชาชนคนไทยกำลังแบกหนี้จำนวนมหาศาล แถมยังเริ่มผ่อนชำระไม่ไหว และกำลังจะสร้างปัญหาต่อการดำรงชีวิต โดยเฉพาะหนี้นอกระบบ ซึ่งที่ผ่านมาทุกรัฐบาลก็พยายามจัดการเรื่องนี้ อย่างในสมัยรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เคยมีการจัดคลินิกแก้หนี้ โดยใช้กลไกของธนาคารแห่งประเทศไทย และบริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (บสส.) ร่วมกัน ซึ่งที่ผ่านมาก็มีการแก้ปัญหาได้ระดับหนึ่ง แต่ก็ยังไม่สามารถจัดการปัญหาได้แบบเบ็ดเสร็จ ซึ่งส่วนหนึ่งน่าจะมาจากองค์ประกอบหลายอย่างที่อยู่นอกเหนือการแก้ไขปัญหาทางการเงินเพียงอย่างเดียว

อย่างที่ทราบกันดี คนไทยกับเรื่องก่อหนี้ถือเป็นสิ่งที่อยู่คู่สังคมโดยตลอด ซึ่งบางครั้งการก่อหนี้ก็ไม่ได้มีเหตุผลจากความเดือดร้อนทางการเงินที่แท้จริง มีการก่อหนี้เพราะทำตามกันๆ แต่สุดท้ายเมื่อกู้มาแล้วไม่สามารถบริหารจัดการได้ และกลายมาเป็นการสร้างภาระให้กับตัวเองในที่สุด 

ดังนั้นการแก้ไขหนี้นอกระบบในครั้งนี้จะใช้การแก้ปัญหาทางการเงิน ไม่ว่าจะเป็นการเจรจากับเจ้าหนี้ การปรับโครงสร้างหนี้ หรือการปล่อยกู้ยืมเงินในระบบเพียงอย่างเดียวไม่ได้ แต่สิ่งที่ควรทำมากที่สุดคือ การปรับทัศนคติและพฤติกรรมของประชาชน ที่จะต้องมีความเข้าใจในเรื่องของการเงิน การระมัดระวังภาระดอกเบี้ยที่เกิดขึ้น รวมถึงการให้ความรู้ในเรื่องของการเงินเบื้องต้น และที่สำคัญคือ การฝึกวินัยการออมให้เป็นนิสัย

 จากนี้คงต้องเฝ้ารอติดตามว่า มาตรการแก้หนี้นอกระบบรอบใหม่จะประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้หรือไม่.

 

ลลิตเทพ ทรัพย์เมือง

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

เสริมสร้างธรรมาภิบาลองค์กร

ธรรมาภิบาลที่เข้มแข็งเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างความไว้วางใจและดึงดูดการลงทุน ในช่วงเวลาที่นักลงทุนทั่วโลกให้ความสำคัญกับความยั่งยืนและความโปร่งใสมากขึ้น ท่ามกลางกระแสการตรวจสอบกรณีทุจริตทางธุรกิจที่เกิดขึ้นในหลายประเทศทั่วเอเชีย

ค้าปลีก-ร้านอาหารยังเติบโตในปี69?

เข้าสู่เดือนสุดท้ายของปี 2568 กันแล้ว แน่นอนว่าธุรกิจในปีหน้ายังคงมีโจทย์ท้าทายอีกหลายอย่างกำลังรออยู่ และตลอดปี 2568 นี้เอง ภาคธุรกิจต่างๆ ก็ไม่ง่าย! เพราะต้องเผชิญกับปัจจัยที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นตลอด

เจาะลึกเทรนด์อีคอมเมิร์ซไทย

ปัจจุบันตลาดอีคอมเมิร์ซไทยถูกขับเคลื่อนด้วยการแข่งขันของ 3 แพลตฟอร์มหลัก คือ Shopee 89%, TikTok Shop 71% และ Lazada 66% โดย 87% ของผู้บริโภคชาวไทยซื้อสินค้าออนไลน์เป็นประจำทุกสัปดาห์หรือทุกเดือน

เสริมความมั่นคงสุขภาพไทย

อุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ของไทยกำลังเคลื่อนตัวเข้าสู่จังหวะใหม่ที่น่าสนใจ และสำคัญต่อความมั่นคงด้านสาธารณสุขของประเทศอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อความต้องการเครื่องช่วยหายใจชนิด CPAP/BiPAP

อัปเกรดมาตรฐานความปลอดภัย

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จับมือหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และพันธมิตรด้านอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เปิดตัวความพร้อมโครงการ “Trusted Thailand” อย่างเป็นทางการ

ดาต้าเซ็นเตอร์เพิ่มโอกาสธุรกิจไทย

ในโลกที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญ ธุรกิจที่ต้องการเติบโตอย่างมั่นคงจำเป็นต้องปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นการใช้ระบบดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ การสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า