โลกที่'อันตราย'กับภารกิจของ'คนรุ่นใหม่'

เห็นข่าวเรื่อง ดร. ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นักวิชาการด้านทะเลและสิ่งแวดล้อม อาจารย์ภาควิทยาศาสตร์ทางทะเล มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ท่านออกมาโพสต์ ออกมาเตือนเรื่อง ทะเลเดือด แล้ว ได้แต่ ใบ้รับประทาน ไม่รู้จะพูด จะคิด จะเขียนยังไงดี อีกทั้งเท่าที่มีโอกาสฟังท่านร่ายยาวเรื่องปัญหาสิ่งแวดล้อม ปัญหาโลกร้อน ในรายการโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ที่แทบมองไม่เห็นทางออก ทางไปใดๆ อีกแล้ว ก็ได้แต่ แบ๊ะ...แบ๊ะ...แบ๊ะ ยิ่งขึ้นไปใหญ่!!!

คือมาถึงขั้นนี้...แทบไม่ต้องเสียเวลาวิเคราะห์ เจาะลึกอะไรมาก สำหรับเรื่องสิ่งแวดล้อม เรื่องปัญหาสภาวะอากาศ แค่นั่งๆ นอนๆ อยู่ในบ้าน ก็น่าจะพอรู้ๆ ว่าอะไรต่อมิอะไรมันน่าจะเดือด น่าจะพล่าน น่าจะร้อนฉิบหาย ร้อนตายโหง ไปแทบทั้งโลกอย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้เลย ขนาดน้ำประปาในท่อการประปาฯ แท้ๆ เปิดก๊อกเมื่อไหร่...ก็สามารถเอามาชง

กาแฟได้สบายๆ ส่วนตับ-ไต-ไส้-พุงก็แทบไม่ต้องเสียเวลาพูดถึง ระดับตับแลบ ม้ามแลบ กันไปเป็นรายๆ สำหรับอุณหภูมิความร้อนช่วงนี้ ที่เห็นว่า...กำลังปาเข้าไประดับ 40 องศาใน กทม. 41-42 องศาแถวๆ บริเวณภาคเหนือ ภาคกลาง ถ้าว่ากันตามคำพยากรณ์ของกรมอุตุนิยมวิทยา เมื่อไม่กี่วันมานี้...

พูดง่ายๆ ว่า...มันเป็นปัญหาที่แก้ยังไงก็คงแก้แทบไม่ได้ มีแต่ต้องหาทาง ทุเลา-เบาบาง ไปตามมี-ตามเกิด หรือต้องทนร้อน ทนหนาว ทนน้ำท่วม-น้ำรอระบาย ฯลฯ กันไปตามสภาพ โอกาสที่อ่าวไทยทั้งอ่าวไทย จะดารดาษไปด้วยปะการังฟอกขาว สัตว์น้ำ สัตว์ทะเล จะเด๊ดสะมอเร่ย์ อิน เดอะ เท่งทึงจนแทบไม่เหลือให้เห็น ให้จับ ฤดูร้อนก็คือฤดูแห่งไขมันละลาย ส่วนฤดูฝนก็คือฤดูแห่งการตกน้ำป๋อมแป๋ม ขณะที่ฤดูหนาวก็อาจเหลืออยู่เพียงแค่ 1 วัน-2 วัน ไม่เกินไปกว่านั้น อันนี้นี่แหละ...ก็คือสิ่งที่บรรดา คนรุ่นใหม่ ผู้กำลังสุข สนุกสนาน อยู่ใน โลกเสมือนจริง ทั้งหลาย คงหนีไม่พ้นต้องยอมรับสภาพความเป็นไปในลักษณะดังกล่าว ซึ่งกำลังปรากฏอยู่ใน โลกแห่งความเป็นจริง อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้โดยเด็ดขาด...

คือมันเป็นโลกที่อยู่ยาก อยู่เย็น อยู่ลำบาก ยิ่งเข้าไปทุกที ไม่ใช่โลกที่น่าชมชิด พิสมัย ที่เต็มไปด้วยความรื่นเริง บันเทิงใจ สามารถสเริงระบำดำรู พรูควั่งถั่งนรกและสวรรค์ โดยไม่ต้องคิด ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรมาก แต่เป็น โลกที่อันตราย ไม่ว่าในแง่สภาพสิ่งแวดล้อม หรือในแง่มวลมนุษย์ด้วยกันเอง ที่ใกล้จะประหัตประหาร เข่นฆ่า ล้างผลาญ กันในระดับ สงครามโลกครั้งที่ 3 หรือแม้แต่ สงครามนิวเคลียร์ อะไรไปโน่น ภายใต้สภาพเช่นนี้นี่เอง...ที่บรรดาคนหนุ่ม-คนสาว คนรุ่นใหม่ทั้งหลาย จะต้องกลายเป็นผู้แบกรับความเป็น-ความตาย ความเจ็บปวด รวดร้าวทรมาน ที่มีแต่จะหนักขึ้นๆ แบบเน้นๆ เนื้อๆ ส่วนคนแก่คนชรา คนรุ่นไดโนเสาร์-เต่าพันปี อย่าง อันตัวข้าพเจ้าเอง ย่อม โชคดี...ที่ตายก่อน อยู่แล้วแน่ๆ...

อันนี้นี่เอง...ที่คงต้องคิด ต้องสะกิดใจ ไว้ก่อนล่วงหน้า ว่าโดย ตัวกู-ของกู หรือโดย อัตตา ของแต่ละคน แต่ละราย จะมีฤทธิ์ มีเดช มีกำลังวังชา พอที่จะสามารถ แบกรับภารกิจ ดังกล่าว ไว้ในแบบไหน? อย่างไร? จะอาศัยเพียงแค่ความหยาบ ความถ่อย ความรู้-ความคิด อันเนื่องมาจากการจิ้มๆ-ทิ่มๆ อยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ จอโทรศัพท์มือถือ ไปวันๆ จะไหวมั้ย??? หรือจะต้องค้นลงไปให้ลึกถึง จุดอ่อน-จุดแข็ง ของคนรุ่นก่อนๆ ว่าอะไรดี-อะไรเลว อะไรเหมาะ-ไม่เหมาะสำหรับอดีต-ปัจจุบัน-และอนาคต อะไรที่ถูกละเลย ถูกมองข้าม ถูกซุกขยะเอาไว้ใต้พรม และอะไรที่ควรยอมรับ ควรที่จะนำมาใช้เป็น มาตรฐาน ทั้งในระดับปัจเจกบุคคล ในระดับสังคม อย่างชนิด เปิดกว้าง หรืออย่างไม่คิดจะนำเอา อัตตา ของตัวเองไปเป็นเครื่องวัดตัดสิน แต่อาศัย ความดี-ความงาม-และความจริง อันเป็นสากล เป็นเครื่องใคร่ครวญพิจารณากันไปแทนที่...

อะไรที่มันเป็น ความดี ก็อย่ามัวไปเสียเวลาตีความ แปลความ แบบประเภทพวก โพสต์ โมเดิร์น กันไปให้เมื่อย เอาแค่ไม่คิดกระทำการในสิ่งที่ตัวเองไม่พึงปรารถนา-ไม่ต้องการต่อผู้อื่น หรือ พร้อมจะรักเพื่อนบ้าน-เหมือนรักตัวเรา อย่างศาสนาคริสต์เขาชี้แนะ-ชี้นำเอาไว้ อันนั้น...ก็จบแล้ว!!! ส่วนอะไรที่มันเป็น ความงาม ก็อย่าถึงกับต้องไปอาศัยความเปลี่ยนแปลงของยุค-ของสมัย มาเป็นตัวเทียบเคียง ให้ต้องเลอะเทอะ เปรอะเปื้อน ไปกับการ ปรุงแต่ง โดยใช่เหตุ เพียงแค่หันไปอาศัย ธรรมชาติ ที่เต็มไปด้วยความงามอันเป็นสากล ก็น่าจะพอ เข้าถึง-เข้าใจ ได้ไม่ยาก และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความจริง ที่ต้องไม่มีวันผันแปรไปเป็นอื่น หรือที่เรียกๆ กันว่า สัจธรรม นั่นแหละ ไม่ใช่ประเภทเฟกนิวส์ ฟักนิวส์ อย่างที่ใครต่อใครพยายามหยิบมาอ้าง มาอิง แบบเลอะๆ เทอะๆ ไปตามเรื่อง-ตามราว...

หรือสรุปง่ายๆ ว่า...ยิ่งโลกมันโหดร้าย เลวร้าย หรือเป็นโลกที่ อันตราย ยิ่งขึ้นไปเท่าไหร่ สิ่งที่จะช่วยทุเลา บรรเทา เบาบางให้อะไรต่อมิอะไรมันพอ อยู่ๆ กันไปได้ ย่อมหนีไม่พ้นไปจากสิ่งที่เรียกว่า ธรรมะ หรือ คุณธรรม-ศีลธรรม ทั้งหลายนั่นเอง อย่างที่ อภิมหาพระ ท่านอาจารย์พุทธทาสภิกขุ ท่านได้ย้ำแล้ว ย้ำเล่า ไว้ขณะยังมีชีวิตอยู่ว่า “ศีลธรรมไม่กลับมา...โลกาจะวินาศ” นั่นแหละ หรืออย่างที่ อภิมหานักวิทยาศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านยีน ด้านดีเอ็นเอ อย่าง ดร. Gerald Crabtree ท่านฟันธง-ฟันเฟิร์มไว้ในรายงานการวิจัยเรื่อง Our fragile intellect เมื่อสิบกว่าปีที่แล้วว่า... “เราต้องเริ่มต้นเผชิญกับปัญหาด้วยการยอมรับความจริงว่า ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์กำลังบอกกับเราว่า วิธีที่ดีสุดในการรับมือกับปัญหาเหล่านี้ ก็คือการอาศัยศีลธรรม หรือการฟื้นฟูความดีงามในหมู่มนุษย์กลับคืนขึ้นมาให้จงได้...”

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

อริยสัจ 4...หลักการดีที่ควรใช้

ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีผู้คนนับถือศาสนาพุทธมากกว่า 92% และในคำสอนของศาสนาพุธก็มีอริยสัจ 4 เป็นหลักที่ใช้ในการแก้ปัญหาที่ยุ่งเหยิงไปสู่ความสงบ

โชคดี...ที่ตายก่อน!!!

เห็นข่าวคราวว่าด้วย หลานสาว ชาวไทยรายหนึ่ง...ซึ่งน่าจะเป็นปุถุชนคนธรรมดา ไม่ได้โดดเด่น โด่งดัง ใดๆ มาก่อนเลย แต่เมื่อเธอโพสต์คลิปวิดีโอ โดยตัวเธอเองนั่ง

ปรับฮวงจุ้ยหรือ?

ไม่รู้จะเป็นเรื่องฮวงจุ้ยหรือกลัวฟ้า กลัวฝน กลัวไฟจะชอร์ตกันแน่ เพราะตั้งแต่ ผบ.ต่อ-พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล แม่ทัพใหญ่สีกากี กลับเข้ามาปฏิบัติหน้าที่

หรือจะรอให้ประเทศไทยเป็นรัฐล้มเหลว

สถานการณ์บ้านเมืองของไทยเรามีอาการน่าเป็นห่วง เพราะคนรักชาติที่มีอยู่มากกว่าคนชังชาติทำอะไรไม่ได้ กลายเป็นคนหมู่มากที่นิ่งเฉย (Passive Majority) ทำได้อย่างมากก็คือ