'กวีไทยกะเทาะโกง'

"อากาศเปลี่ยน" หรือ "สังขารผมเปลี่ยน" ก็ไม่รู้นะ

สอง-สามวันนี้ ....

เกิดอาการ "สองแง่-สองง่ามทางจิต" ว่าเป็นโควิดซ้ำซากหรือเป็นไข้ร้อนระบัดฝนกันแน่?

เพราะเนื้อตัวเหมือนผ้าที่ซักแล้วถูกบิดสุดข้อแขน มันปวดไปหมดจากเนื้อถึงกระดูก หัวงี้...มึนตึ๊บๆ ใจวิบๆ วับๆ ชอบพิกล

แต่พอได้รับแจกันดอกไม้ที่ "คุณรวงทอง ทองลั่นทม" ส่งมาให้ อาการไข้-ตัวร้อนฉ่า หายไปครึ่ง

ชื่นใจน่ะครับ....

เมื่อนักร้องระดับ "ศิลปินแห่งชาติ" ที่ผมเคยนั่งตาลอยฟังเธอร้องเพลงที่ "ซาวอย" ย่านสุขุมวิท เมื่อ ๔๐-๕๐ ปีก่อนโน้น ส่งการ์ดอวยพรพร้อมดอกไม้มาให้ มิจำเป็นต้องเป็นคนเคยรู้จัก!

กราบขอบคุณถือเป็นเกียรติกับผมยิ่งนัก

"เพลง" คืออะไร?

เพลงคือ "ภาษาใจมนุษยชาติ"

ดังนั้น ไม่ว่าเพลงชาติใด-ภาษาใด ทั้งคนร้อง-คนฟัง ไม่ต้องรู้ภาษานั้นๆ แต่เข้าใจ-รับรู้ได้

ผ่านทาง "อารมณ์เพลง" และลีลาร่าย "ดนตรี"

มีคนชอบพูดเชิงเปรียบว่า "เพลงยุคนั้นดีกว่ายุคนี้-ยุคนี้ดีกว่ายุคนั้น"

ไม่ใช่หรอก "เพลงก็คือเพลง" ไม่มียุคไหน "ดี-เลว" กว่ากัน ถ้าจะมี ก็ที่ "ใจ" คนประพันธ์และคนขับร้อง นั่นละมากกว่า

ใจคนร้อง-คนประพันธ์ มุ่งแบบไหน?

ก็จะส่งผ่าน "เนื้อร้อง-ทำนอง" สู่ตลาดใจคนฟังว่า มุ่งสรรค์สร้างสุนทรียารมณ์มนุษยชาติ

หรือมุ่งปลุกเร้าสัญชาตญาณกร้านหยาบ-กระหายหื่นสัตว์ดิบในร่างมนุษย์!

เพลงแต่ละยุค ถ้าจะไม่เหมือนกัน ก็ตรงนี้แหละ

ไม่เชื่อก็ลองเปิดเพลงยุค คุณรวงทอง ชรินทร์ สุเทพ สวลี แม้กระทั่ง สมยศ ทัศนพันธ์

กับเพลงยุค ลำไย ไหทองคำ จ๊ะ คันหู หรือจ๊ะ นงผณี ฟังดูก็ได้ ไม่ได้ฟังเพื่อเปรียบเทียบว่ายุคไหน "ดี-ไม่ดี" กว่ากันนะ

แต่ให้ฟัง.....

เพื่อให้เพลงปลุกสัญชาตญาณในตัวออกมาตอบผ่านทางอารมณ์ใจว่า สุนทรีย์-เบิกบาน หรือ เร่าร้อน-หายกระหื่น?

"โลก-มีมนุษย์และสัตว์"

"กวี-บทเพลง" ก็มีมาพร้อมมนุษย์และสัตว์

มีใครไม่เคยได้ยินชื่อ "ศรีปราชญ์" บ้าง?

"คนไทย" พูดได้เลย "ทุกคน" มีบทเพลงอยู่ในหัวใจ เพียงแต่รู้ตัวเอง หรือ ไม่รู้ตัวเอง เท่านั้น

เรามักได้ยินการค่อนขอดกันด้วยคำว่า "แหม...ช่างเจ้าบท-เจ้ากลอนจริงนะ"

นั่นสะท้อน "ตัวตน-คนไทย" ชัดเจน ว่าคนไทยนั้น ตั้งแต่ยังไม่รวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทยมาแล้ว เป็นคนมีอารยะ

กวี บทขับร้อง เห่กล่อม บทกลอน ร้อยแก้ว-ร้อยกรอง มันอยู่ในสายเลือดคนทุกคน

ขึ้นอยู่กับ ใครจะขุดผลึกในตัวนั้นขึ้นมา ฝึกฝน-ฝึกหัด-ขัดเกลา ให้เด่นเป็นพิเศษเท่านั้น

น้อยคนจะไม่เคยได้ยินชื่อ "ศรีปราชญ์" ยุค "สมเด็จพระนารายณ์มหาราช"

อย่างน้อย ถ้าเคยดูละคร "บุพเพสันนิวาส" ก็คงพอรู้

อย่าว่าแต่ "ศรีปราชญ์" เลยครับ

ขนาด "เจ้าฟ้า-เจ้าแผ่นดิน" แต่ละพระองค์แต่ละยุค ก็ทรงเป็นกวี ถึงขั้นมี "กวีประจำราชสำนัก" กันเลยทีเดียว

"สมเด็จพระนารายณ์มหาราช" เรารู้จักพระองค์ในหลายๆ ด้าน แต่ด้านที่ไม่ค่อยเอ่ยถึงกันคือ ด้านกวี

"อันใดย้ำแก้มแม่ หมองหมาย ยุงเหลือบฤๅริ้นพราย ลอบกล้ำ"

นั่นแหละ บทกวีที่ "สมเด็จพระนารายณ์มหาราช" ทรงขึ้นบทค้างไว้

แต่สุนทรียารมณ์กลั่นบทต่อไม่ออก ทรงมอบให้ "พระโหราธิบดี" บิดา "ศรีปราชญ์" ไปต่อให้จบ

"ศรีปราชญ์" แค่ ๖-๗ ขวบ เห็น

ด้วยกวีในหัวใจ จัดการเขียนลงกระดานชนวนต่อแทนพ่อไปทันที ว่า

ผิวชนแต่จักกราย ยังยาก ใครจักอาจให้ช้ำ ชอกเนื้อเรียมสงวน"

ทรงตบพระเพลาฉาด ถูกพระทัยมาก ศรีปราชญ์ได้รับราชการในราชสำนักแต่เด็กด้วยกวีโวหารนั้่น

แต่ชีวิตศรีปราชญ์ ก็ต้องจบลงด้วยโทษประหาร

ตัวตาย แต่บทกวีไม่ตาย

ศรีปราชญ์ใช้ปลายนิ้วเท้าผ่านหลักประหาร จารึกฝากไว้ "ให้โลกจำ" ถึงวันนี้ ว่า

"ธรณีนี่นี้ เป็นพยาน

เราก็ศิษย์มีอาจารย์ หนึ่งบ้าง

เราผิดท่านประหาร เราชอบ

เราบ่ผิดท่านมล้าง ดาบนี้คืนสนองฯ"

ในยุคต้น "กรุงรัตนโกสินทร์" ไทยฉายฉานชาติอารยะ ผ่าน กวี โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน มากมาย

ตำรับ-ตำรา ทั้งพิชัยสงคราม การแพทย์ หยูกยา รักษาด้วยการนวด จารึกไว้ตามผนังวัดวาอารามต่างๆ เป็นกาพย์ ฉันท์ โคลง กลอน

"สุนทรภู่" เกาหลียังต้องนำคติสอนใจในโคลงกลอนท่าน ไปแปลเป็นภาษาเกาหลี สอนคนรุ่นใหม่ของเขา

เจ๋งขนาดไหน คิดดู!

ประเด็นที่ผมจะบอก คือ คนไทยเราเนี่ย ทุกเรื่อง ทั้งเรื่องตัวเอง เรื่องคนอื่น

ต่อให้ "โลกเครียด" จนบ้า แต่คนไทยสามารถแปลงเรื่องเครียดให้คลาย กลายเป็นเรื่องตลก สนุกสนาน หัวเราะกันเยี่ยวแตก-เยี่ยวแตน ได้ทุกเรื่อง

ประเทศไทย "คนบ้า" ถึงน้อยกว่าประเทศอื่นไงล่ะ

จะมากกว่าประเทศอื่น ก็ตรง มีนักการเมือง "โกงบ้าน-กินเมือง" มากกว่าเขาเท่านั้นแหละ!

"ญี่ปุ่น" รถไฟมาผิดเวลานาทีเดียว รัฐมนตรีเครียดต้องออกมาโค้ง...ขอโทษ แล้วลาออก

แต่ไทยเรา ขำกลิ้ง...บ้านกูน่ะ "ยกโคตรโกง" ไม่เห็นมีใครเครียด มีแต่ช่วยเคลียร์-คลานออกมายืนกุมไข่โค้ง

แปลงเรื่องเครียดให้เป็นตลก คนไทยเก่งมาก  เก่งในสายเลือด พูดงั้นได้เลย

เคยอ่านกวีเรื่อง "พระเอ็ดยง" บทละครเรื่อง "พระมะเหลเถไถ" เรื่อง "อุณรุทร้อยเรื่อง" ของ "คุณสุวรรณ"

หรือเรื่อง "ระเด่นลันได" กวีตลกล้อเลียนของ "พระมหามนตรี (ทรัพย์)" กันบ้างมั้ย?

แต่ที่ไม่ควรพลาด ควรต้องหาอ่านกันให้ได้จากกวีตลกล้อเลียนสมัยนั้น นั่นคือเรื่อง "เอ๋งติ๋งห้าว อ๊าวติ๋งโฮ่ง"!

แค่ชื่อเรื่องก็ฮากันกระเดือกค้างไปแล้ว

"เอ๋งติ๋งห้าว" พ่อตาเป็นเจ้าเมืองชื่อ "ท้าวถิ่งโยนโกก" ส่วนแม่ยายชื่อ "นางจุ้มจุ้มมะระดีมเหสี"

"เอ๋งติ๋งห้าว" รบชิงเมืองให้พ่อตาได้สำเร็จ พ่อตาเลยยกลูกสาวชื่อ "นางสังขะอู๊ด" ให้เป็นเมีย

แค่จำคร่าวๆ จากที่เคยอ่านยังขำกะปริบ

ผมจึงสิ้นสงสัย ว่าทำไมไทยจึงได้ชื่้อว่า "ไทย สไมล์" ใครคบหาพาเห็นก็สบายใจ

เพราะคนไทยไม่ซีเครียดไง เรื่องไหนๆ ใครเขาจะบ้าตาย

แต่คนไทยทำเรื่องบ้าให้กลายเป็นเรื่องฮาขี้แตกได้!

ไม่ต้องดูอะไรมาก.......

ข้าว ๑๐ ปี รัฐมนตรีกินโชว์ บอก...หอมมม อร่อย

ลูกค้าตลาดข้าวไทย เครียด ผวาข้าวไทย

แต่คนไทยกลับครึกครื้น!!!!

ดูโซเชียลซี กวีไทยใส่สโลแกนโฆษณาขายข้าว ๑๐ ปีให้รัฐบาลเศรษฐากันครึกครื้น ช่างสรรกลั่นกวีแดกดันกันได้น่าหยิกแก้มก้นซะจริงๆ

นี่..เจ้านี้ ช่วยโฆษกรัฐบาลประชาสัมพันธ์ขายข้าวให้ผ่านโซเชียลมีเดีย ชนิดต้องมอบโล่กันเลยทีเดียว

หน้าถุงข้าว แปะยี่ห้อ "เผาไทย" ข้าวไทย ๑๐ ปี

คุณภาพ "คำแรกติดใจ คำต่อไปติดเตียง"

พร้อมโฆษณาสรรพคุณเรียกลูกค้าเสียงเจื้อยแจ้วให้เสร็จสรรพ ชนิดเอเยนซีมืออาชีพเขินเชียวแหละ

.......................

"ข้าวหอมมะลิตรายิ่งลักษณ์ เม็ดสีเหลืองทั้งถุง  ผ่านการรมควัน ยาฆ่าแมลงนานกว่า ๑๐ ปี

จะหุงทั้งทีต้องซาวถึง ๑๕ ครั้ง

มีแต่สารพิษ ไม่มีสารอาหาร กินวันนี้ ทำคีโมวันหน้า   คนกลืนตาย คนคายโคม่า 

โปรดสั่งเสีย ก่อนสั่งซื้อ คำแรกขึ้นสมอง คำสองขึ้นสวรรค์ รสชาติไม่ต้องพูดถึง รถป่อเต็กตึ๊งมารอแล้ว

สกปรกให้ห้า มั่นหน้าให้สิบ จะกลืนหรือคาย เป็นตายเท่ากัน กินเพื่อนาย ตายช่างมัน

คำแรกติดใจ คำต่อไปติดเตียง กินแล้วตาย ยินดีคืนเงิน

นี่เขาเรียก "กวีเหน็บชายโครง" ถ้า "ท้าวถิ่งโยนโกก" อยู่ละก็ ไม่ยกลูกสาว "นางสังขะอู๊ด" ให้เป็นเมีย "เอ๋งติ๋งห้าว" หรอก!

ไม่แค่นั้น กระทั่ง "พระโค" เสี่ยงทายเสร็จเช้าวานปุ๊บ

กวี "ขายหัวเราะ" ออกมาปั๊บ เป็น "พระโคส่ายหน้า"

"ข้าว ๑๐ ปีนะเนี่ย"

เจี๊ยะบ่โละ!

-เปลว สีเงิน

๑๑ พฤษภาคม ๒๕๖๗

 

วันเสาร์ที่ปลายซอย

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

เศรษฐา...ถ้าจะ (รอด) ยาก!

"ทำเป็นเล่นไป"..... "คิดใหญ่-ทำเป็น" ใช่ว่าพรรคการเมืองระบอบทักษิณท้องอืด-ท้องเฟ้อ แล้วละเมอเรื่อยเปื่อย

'เหรียญทองสู้เหรียญเก๊'

"พ่อค้าผ้าเงินหลวง" ที่ไปกลวงๆ อยู่อิตาลีนั่นน่ะ กลับเหอะ แต่ละทริป ไม่ผลาญเป็นสิบล้านเรอะนั่น แล้วขายได้ซักผืนมั้ยล่ะ ไอ้ผ้าขะม้านั่นน่ะ!

เวลา 'กับปัญหา' รอระเบิด

"หายไปวัน" ก็ไม่ได้ไปไหน "ไข้ทับหัวฝน" ปนเปกับ "โรคขาประจำ" มันจรมาเยี่ยมพร้อมๆ กัน เลยต้องนอนต้อนรับเขาหน่อย

ทัพเรือ 'กระแอม-กระไอ'

"เศรษฐาทัวร์"ออกเดินทางไป "ฝรั่งเศส-อิตาลี-ญี่ปุ่น" วันนี้ หนึ่งในภารกิจสำคัญเพื่อชาติ ครั้งนี้

"แผ่นดินประเทศ" อ่อนล้า

หมู่นี้ "รัฐบาลเศรษฐา" ออกอาการแกว่งๆ ชอบกล!? แกว่งทั้ง "พรรคร่วม-พรรคแกน" จนหาทิศทางประเทศไม่เจอ