'พลังประชารัฐกับเลือกตั้ง'

แหะๆ......

ไม่ได้หายหน้าไปฉลองปีใหม่ที่ไหนหรอกครับ เพียงแต่เห็นท่านไปเที่ยวกันมีความสุข ผมก็อิจฉา

เลยเปิดห้องที่โรงพยาบาลฉลองคนเดียวซะ ๒ คืน เมาคาถุงน้ำเกลือไปเลย!

คนเราก็อย่างนี้แหละ ตอนเป็นเด็ก ติดแม่-ติดพ่อ, ตอนวัยรุ่น ติดเพื่อน, พอเป็นหนุ่ม-เป็นสาว ก็ติดแฟน

ครั้นหนุ่มใหญ่ ก็ติดเหล้า-ติดยา-ติดหนี้ ที่ล้ำหน้าหน่อย ก็ติดคุก-ติดตะราง, พอแก่เฒ่า ก็ติดเตียง ติดโรงพยาบาล

มี "ติดเดียว" ที่มีสิทธิ์ด้วยกันทุกคน คือ

"ติดโควิด"!

ที่ฮิตตอนนี้ เป็นโควิดตระกูล "โอมิครอน" โอมิครอนนี่ กินคนไทยยาก เพราะคนไทย เป็นมนุษย์เหนือการคาดเดาในทุกสถานการณ์

บทจะสบายๆ ตามใจกู ก็สบายกันไร้หูรูด ครั้นจะเคร่งครัด-จริงจัง  ก็เคร่งครัด-จริงจัง ชนิดไม้บรรทัดยังไม่ตรงเท่า

อย่างการรับมือโควิด บอกมาซิว่า มีประเทศไหนในโลก ที่ประชาชนพลเมืองเคร่งครัด-จริงจังกับการสวมหน้ากากอนามัยเหนือกว่าคนไทยบ้าง?

ถ้ามีการประกวด "อารยะกับป่าเถื่อน" มีเหตุแล้ว ไม่ต้องจ้ำจี้-จ้่ำไช ไม่ต้องบังคับขับไสกัน 

มาตรการ "สวมแมสก์-ล้างมือ" คนไทย ที่ ๑ ในโลกแหงๆ!

ออกจากบ้าน ใครลืมแมสก์แล้วไปเดินถนน จะกลายเป็นมนุษย์สังคมรังเกียจ ถูกจิกด่าด้วยสายตาคนเป็นสิบ-เป็นร้อยทันที

เพราะอย่างนั้น ดูตามสถิติผู้ติด-ผู้ตาย สามารถพูดได้ว่า ประเทศไทยค่อนข้าง "ปลอดภัย" จากโรคระบาดที่สุด เมื่อเทียบกับอีกหลายๆ ประเทศ โดยเฉพาะทางฝั่งตะวันตก

คนที่ดูข่าว-ฟังข่าวต่างประเทศบ่อยๆ จะเข้าใจประเด็นนี้ และจะภูมิใจกับบ้านเกิดเมืองนอนของเราเอง

แต่คนที่ไม่เหลียวมองความเป็นไปบ้านเมืองอื่นด้วย ก็จะบ่น-ก่นด่าอยู่แต่บ้านเมืองตัวเอง ไอ้นั่นไม่ดี ไอ้นี่ก็ห่วย ไม่ถูกใจตัวเองซักอย่าง

ในขณะที่ชาวโลกอิจฉาคนไทยและรัฐบาลไทย ที่ร่วมมือ-ร่วมใจรบโควิด และไม่ว่าสายพันธุ์ไหน ก็ตีเมืองไทยไม่แตก!

ฉะนั้น เมื่อประชาชนตั้งมั่น ช่วยกันป้องกันโควิด ด้วยไม่ประมาท

รัฐบาล-ศบค. "ห่วงใย" ใช้มาตรการเฝ้าระวังโอมิครอนตอนนี้ มันก็ดี

แต่ควรประยุกต์มาตรการแบบ "พิณสามสาย" ตึงนัก ก็ขาด, หย่อนนัก ก็ไม่ดัง ฉะนั้น ต้องพอดีๆ

ให้ร้านค้า-ร้านขาย สถานบริการ และการบันเทิงเขาได้มีช่องหายใจทำมาหากินบ้าง          

แห่งไหนร่วมมือมาตรการดี ก็ส่งเสริมให้เป็นตัวอย่าง ส่วนแห่งไหนย่อหย่อน ก็ต้องเฉียบขาด ปิดก็ต้องปิด

เจ้าหน้าที่แต่ละท้องที่ ควบคุมในเขตรับผิดชอบด้วยดุลยธรรม อย่าด้วยดุลใต้โต๊ะ

ใช้อำนาจตามหน้าที่ให้เห็นจริงว่า..........

-ถ้าเปิดแล้วมีความรับผิดชอบ เปิดได้เต็มที่เลย

-แห่งไหนไม่รับผิดชอบ ถูกเช็กบิลเต็มที่เหมือนกัน

เมื่อทำเป็นมาตรฐานให้เห็น พวกที่นอกกรอบ เมื่่อรักจะทำมาหากิน ก็ต้องปรับตัวเองเข้ามาอยู่ในกรอบโดยปริยาย

"งดรับส่วย" สถานบริการกันอีกซัก ๓-๔ เดือน "ปิดเป็นปิด-เปิดเป็นเปิด" ไว้โควิดคลาย หัวค่อยส่าย-หางค่อยกระดิก จะได้ไหม?

แต่ช่วงนี้ ต้องยึด "มาตรการป้องกัน" เป็นไม้บรรทัดวัดแต่ละสถานบริการให้เสมอหน้ากันก่อน

แต่ดูๆ แล้ว มันก็พิลึก กลัวก็กลัวโอมิครอนระบาด แต่เลือกตั้งซ่อม เดือนมกรานี้ ก็จะเลือกซ่อมกันถึง ๓ แห่ง

คือที่ สงขลา เขต ๖, ชุมพร เขต ๑ อาทิตย์ที่ ๑๖ มกรา
และที่ กทม. เขต ๙ "หลักสี่-จตุจักร" อาทิตย์ที่ ๓๐ มกรา

เลือกตั้ง ก็ไม่ต่างมหกรรมผู้คน......

เพราะผู้สมัคร ต่างยกทีมไปหาเสียงตามชุมชน ตามตลาด ซึ่งนั่นก็ไม่ต่างสถานบริการในด้านคนหลากหลายไปรวมหมู่-รวมกลุ่มกันอยู่จำนวนมาก

พูดถึงเลือกซ่อมที่ชุมพรกับสงขลา มันสะท้อนการเมืองระหว่างพรรคที่น่าจับตาเหมือนกัน

จะว่าไป เขต ๖ สงขลา เลือกซ่อมแทน "นายถาวร เสนเนียม" ชุมพร เขต ๑ เลือกซ่อมแทน "นายชุมพล จุลใส"

ทั้งคู่เป็น ส.ส.ประชาธิปัตย์ ที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พ้นสภาพ

ถ้าผมเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ผมจะงดส่งคนลงไปแข่ง ด้วยเหตุผลว่า

๑.ประชาธิปัตย์ เป็นพรรครัฐบาลด้วยกัน ๒.เป็นการเลือกซ่อมคนของประชาธิปัตย์ ๓.แข่งกันเองเพื่ออะไร ได้มาก็ค่าเท่ากัน ทั้งไม่ทำให้เสียงรัฐบาลเพิ่ม

๔.ในค่าเท่ากันนั้น......

การที่ พปชร.ลงไปชิง เท่ากับลงไปลดค่าความผูกพันทางใจในความเป็นพรรคร่วมให้ต่ำลง

และ ๕."นางสาวสุภาพร กำเนิดผล" ผู้สมัครพรรคประชาธิปัตย์  คนทั่วไปก็จะรู้ตามข่าวเท่านั้นว่าเป็นภรรยา "ส.ส.เดชอิศม์ ขาวทอง" ผู้มากบารมีในท้องถิ่นนั้น

แต่จริงๆ แล้ว "นางสาวสุภาพร" ไม่จำเป็นต้องใช้บารมี ส.ส.เดชอิศม์ เพื่อหาเสียง-หาคะแนน ด้วยซ้ำ

เพราะนางสาวสุภาพรนั้น เป็นที่รู้จัก-เป็นที่รักของคนสงขลาด้วยเธอคลุกคลี-เข้าถึงชาวบ้านมานานแล้ว เรียกว่าบ้านไหนมีทุกข์-มีสุข ทุกการ์ดเชิญ ต้องถึงเธอ

สงขลา มี ส.ส.ทั้งหมด ๘ คน เป็นพลังประชารัฐ ๔ คน ประชาธิปัตย์ ๓ คน และภูมิใจไทย ๑ คน

ทั้ง ๘ ส.ส.ก็สรุปรวม "พรรครัฐบาล" ถึงแข่งกัน ได้มาก็แค่ "เรือล่มในหนอง"

แล้วเกิดประโยชน์อะไร ที่ต้องทำให้ "ใจกลัดหนอง" ต่อกัน ระหว่างประชาธิปัตย์กับพลังประชารัฐ ในความเป็นพรรคร่วม?

เผอิญผมไปยะลา-ปัตตานี-สงขลาบ่อย สดับตรับฟังได้ว่า ชาวบ้านผูกพันกับ "นางสาวสุภาพร" มากกว่าคนของพลังประชารัฐ

ส่วนที่ชุมพรเขต ๑ เหมือนกัน คนที่ประชาธิปัตย์ส่งลงแทน "นายชุมพล จุลใส"

คือ "นายอิสรพงษ์ มากอำไพ" นั่นก็หลานนายชุมพลหรือ ส.ส.ลูกหมี

แล้วพลังประชารัฐ แรกๆ บอกไม่ส่ง สุดท้ายก็ส่ง "นายชวลิต  อาจหาญ“ ลงแข่ง

ที่ชุมพรผมไม่เคยลงไปสัมผัส จึงไม่ทราบความผูกพันระหว่างผู้สมัครทั้งสองกับชาวบ้าน

ทราบเพียงว่า นายอิสรพงษ์ เป็นหลานชายอดีต ส.ส.ลูกหมีเอง   เมื่อ ส.ส.ลูกหมีถูกให้พ้นสภาพ ชาวบ้านย่อมสงสารและเห็นใจ เมื่อส่งหลานลงแทน นายอิสรพงษ์จึงมีโอกาสมากกว่า

ในทัศนะผม เลือกซ่อมที่ชุมพรและสงขลา ผู้สมัครประชาธิปัตย์ มีโอกาสได้รับเลือกให้เป็น ส.ส.เหนือกว่าพลังประชารัฐ

นั่นคือ "พลังประชารัฐ" จะแพ้เลือกซ่อมเป็นครั้งแรก หลังจากที่เคยชนะมาทุกซ่อม!

แม้กระทั่งเลือกซ่อม กทม.เขต ๙ "หลักสี่-จตุจักร" ก็เถอะ ถามว่าจะเอาบารมีจากใครไปดึงดูดใจให้เลือกพลังประชารัฐ?

ยิ่งมี "พรรคใหม่-หน้าใหม่" จากพรรคไทยภักดี ของคุณหมวรงค์ที่คนให้ความสนใจเป็นพิเศษแล้ว

ยังมี "หน้าเก่า-พรรคใหม่" อย่างนายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ระดับเลขาฯ พรรคกล้าของนายกรณ์ จาติกวณิช ลงชิงด้วย

แค่ ๒ คนนี้ ก็กลบฝังผู้สมัครรายอื่นๆ รวมทั้้งผู้สมัครพลังประชารัฐมิด จะมีก็แค่อดีต ส.ส.ของเพื่อไทยที่แพ้ไปครั้งที่แล้วเท่านั้น

สรุปในมุมมองผม ทั้งซ่อม ๑๖ มกรา และซ่อม ๓๐ มกรา "พลังประชารัฐ" ยุคพรรคใหญ่แล้วผยอง พยายามปฏิเสธ "นายกฯ ประยุทธ์" จะย่อยยับ

แต่ก็อยากเห็นพลังประชารัฐกวาดได้หมดทั้ง ๓ ส.ส.นะ เพราะนั่น จะทำให้พลังประชารัฐได้มั่นใจ ว่า

"ไม่ต้องมีประยุทธ์" ก็ได้......

มีแค่ "ประวิตร-ธรรมนัส" ก็เป็นรัฐบาล "พลังประชารัฐ+เพื่อไทย" เป็นแกนตั้งรัฐบาลได้

ใครไม่เชื่อ ให้ไปถามทักษิณ!

"ประชาธิปัตย์" น่ะ ใจไปนานแล้ว ส่วน "ภูมิใจไทย" ยังเป็น "ฉลามน้ำลึก"

ทั้งหมดนี้ อยากจะบอกพลเอกประวิตร ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐว่า......

"การใช้น้ำไม่เผื่อแล้ง แกงไม่เผื่อเพื่อนบ้าน กาลข้างหน้า จะลำบาก"

คนปลายซอย

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'พรพระ-พรนักโทษ'

หมู่นี้..... "คนห่มเหลือง" ประพฤติผิดพระวินัยสงฆ์ ต้อง "อาบัติปาราชิก" ข้อ "เสพเมถุน" ถี่มาก!

เศรษฐา "นายกฯ ฮูดินี"

"ชีวิตที่มีหมานำ" ก็อย่างนี้แหละครับ "หัวหน้าคอก" เมื่อพักคุก ก็ไปขลุกเชียงใหม่