
มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งข้าราชการตำรวจให้ดำรงตำแหน่งต่างๆ จำนวน 41 นาย ตามประกาศในราชกิจจานุเบกษา ที่เผยแพร่ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง แต่งตั้งข้าราชการตำรวจ โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งข้าราชการตำรวจให้ดำรงตำแหน่งใหม่ 41 นาย มีผลตั้งแต่ 16 ธ.ค.2567 เป็นต้นไป....เมื่อมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ดังกล่าวเรียบร้อย ก็ทำให้ "นายพล" ล็อตแรกเริ่มปฏิบัติงานตามอำนาจหน้าที่ได้อย่างเต็มตัว ไม่ต้องใช้คำสั่ง "รักษาการตำแหน่ง" ตามคำสั่งก่อนหน้านี้ที่ ผบ.ต่าย-พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ แม่ทัพใหญ่สีกากี มอบหมายแล้ว และ
สามารถจัดทำบัญชีแต่งตั้งนายพลเล็กและนายพัน ลงไปถึง ผบ.หมู่ได้อย่างเต็มตัว การจัดทัพปรับทิศการขับเคลื่อน "กรมปทุมวัน" เริ่มต้นขึ้น มี พล.ต.ท.สยาม บุญสม ผบช.น. คุมเมืองหลวง พล.ต.ท.สุรพล เปรมบุตร ผบช.ภ.1 คุมภาคกลาง พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผบช.ภ.2 คุมภาคตะวันออก พล.ต.ท.วัฒนา ยี่จีน ผบช.ภ.3 คุมอีสานใต้ พล.ต.ท.ฉัตรชัย สุรเชษฐพงษ์ ผบช.ภ.4. คุมอีสานตอนบน พล.ต.ท.กฤตธาพล ยี่สาคร ผบช.ภ.5 คุมภาคเหนือ พล.ต.ท.กิติศักดิ์ ดุรงควิบูลย์ ผบช.ภ.6 คุมภาคกลาง พล.ต.ท.นัยวัฒน์ ผะเดิมชิต ผบช.ภ.7 คุมภาคตะวันตก พล.ต.ท.สุรพงษ์ ถนอมจิตร ผบช.ภ.8 คุมภาคใต้ตอนบน และ พล.ต.ท.ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี ผบช.ภ.9 คุมภาคใต้ตอนล่าง ๐
ในห้วงเวลาจัดทำบัญชีแต่งตั้งโยกย้าย "ตำรวจ" หากเป็นสมัยก่อน ถ้าระดับ ตร.เรียก "ผู้บัญชาการ" หรือ "ผบช." มาประชุม ไม่ว่าเรื่องอะไร ก็จะถูกตีความไปว่าน่าจะมา "รับตั๋ว" แต่มายุคนี้ มีกฎ มีระเบียบ มีหน่วยงานเข้ามากำกับดูแลการร้องเรียน ดูแลการแต่งตั้งกันมากขึ้น ระดับ ตร.ต้องหันไปเน้นเรื่องการทำตามกฎ ทำตามระเบียบให้เคร่งครัด ไม่เช่นนั้นมีโอกาสโทษฟ้องร้อง ติดคุก ติดตะราง วันศุกร์ที่ 20 ธ.ค.ที่ผ่านมา "ผบ.ต่าย" เรียก ผบช. หัวหน้าหน่วยที่มิได้สังกัด สง.ผบ.ตร., จตร. (หน.จต.) และ ผบช. หัวหน้าหน่วยงานในสังกัด สง.ตร. มาติวเข้มแนวทางการคัดเลือกแต่งตั้งข้าตำรวจระดับ "รอง ผบช." และรอง จตร. ลงมาถึง ผบก. วาระประจำปี 2567 ต้องยึดตามกฎ ก.ตร.ว่าด้วยการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ พ.ศ.2567 รวมทั้งนำคำวินิจฉัย ก.พ.ค.ตร.ที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาคัดเลือกแต่งตั้งข้าราชการตำรวจในประเด็นต่างๆ มาประกอบการจัดทำบัญชีแต่งตั้ง...ส่วนจะมีการ "รับตั๋ว" เหมือนในอดีตหรือเปล่า อันนี้ใครผ่านไปแถว "กรมปทุมวัน" ก็ลองถามผู้มีอำนาจกันเอาเองเด้อ
พอทุกอย่างเริ่มเคลียร์ เริ่มมีทางออก การจัดทำบัญชีแต่งตั้ง "นายพลเล็ก" ก็เดินหน้าต่อ หลังวงประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ หรือ ก.ตร. ที่มี "ผบ.ต่าย" นั่งเป็นประธานแทนนายกฯ อิ๊งค์-แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีมติขยายเวลาในการแต่งตั้งรอง ผบช.และ ผบก. วาระประจำปี ออกไปถึงวันที่ 15 ม.ค.2568 หากยึดตามข้อมูลที่ บิ๊กเอก-พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิ โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวล่าสุดเมื่อวันที่ 16 ธ.ค.ที่ผ่านมา บอกว่า "คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ยังเหลือการประชุมเพื่อพิจารณาและให้ความเห็นชอบการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจในระดับรอง ผบช.และ ผบก. คาดว่าจะดำเนินการประชุม ก.ตร.ภายในเดือนนี้" แสดงว่าโผนายพลล็อตสองจะเสร็จสิ้นก่อนปีใหม่ เมื่อนำไปเทียบกับไทม์ไลน์ "กรมปทุมวัน" ที่หลุดรอดออกมา บัญชีแต่งตั้งแต่ละ บช.จะส่งมาให้ ตร.ในช่วงวันคริสต์มาส แล้วพอหลังปีใหม่ไม่กี่วันก็จะเริ่มนัดประชุมบอร์ดกลั่นกรองระดับ ตร. และประชุม ก.ตร.ตีตราประทับช่วงต้นปี 2568 ทันที ๐
เริ่มเข้ารูปเข้ารอยสำหรับ “ทีมกลาโหม” ในการขับเคลื่อนงานตามนโยบาย กำหนดการ และวาระงานต่างๆ มีการกระจายงานกันไปทำ ตัวรัฐมนตรีว่าการฯ “อ้วน” ภูมิธรรม เวชยชัย พร้อม พล.อ.สนิธชนก สังขจันทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม และคณะไปเยือนประเทศเวียดนาม เพื่อเข้าร่วมงานวันครบรอบ 35 ปี เทศกาลวันป้องกันประเทศเวียดนาม และวันครบรอบ 80 ปีของการสถาปนากองทัพประชาชนเวียดนาม รวมทั้งงานนิทรรศการ Vietnam International Defence Expo 2024 ซึ่งจัดขึ้น ณ กรุงฮานอย ตามคำเชิญของรัฐบาลเวียดนาม ขณะที่รัฐมนตรีช่วยฯ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ ก็ไปติดตามงานตามที่ได้รับมอบหมาย ไปประชุมกับกองทัพบกเพื่อติดตามความคืบหน้าในการมอบนโยบายเฉพาะ 11 ข้อของ รมว.กลาโหม โดยมี พล.อ.ธราพงษ์ มะละคำ รองปลัดกระทรวงกลาโหม เดินทางร่วมคณะไปด้วย ๐
เข้า ทบ.รอบนี้ พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผบ.ทบ. จัดการตอนรับแบบกระชับ เหมาะสม ตามแนวทางของ พล.อ.ณัฐพล ที่ไม่ต้องการให้อลังการมากนัก เน้นการพูดคุยกันเป็นหลัก การกลับมาเยือนถิ่นจึงเรียบง่าย เพราะ พล.อ.ณัฐพลก็เติบโตมาทางสายงานยุทธการมาตลอด รั้วแดงกำแพงเหลือง ถนนราชดำเนินแห่งนี้ เป็นสถานที่ทำงานเกือบทั้งชีวิต เมื่อเจอสื่อ เรื่องที่ต้องถูกถามคือปมประเด็น “ว้าแดง” ตั้งฐานลุกเข้ามาในฝั่งประเทศไทย แต่กองทัพยังใจเย็น จนโลกโซเชียลมีเดียบอกว่ากองทัพอ่อนปวกเปียก เก่งแต่คนไทยด้วยกันเอง ในฐานะที่เป็นระดับนโยบายและเติบโตมาใน ทบ. อธิบายถึงข้อดี-ข้อเสียหากมีการใช้กำลังกัน และที่สำคัญเป็นเรื่องของรัฐบาลว่าจะจัดการอย่างไร เหมือนรู้ว่าเรื่องทำนองนี้ กองทัพเองก็พูดอะไรมากไม่ได้ ขยับตัวโดยไม่มีคำสั่งอาจตกเป็นจำเลยเหมือนผู้บังคับบัญชาในอดีต ที่ถูกตราหน้าว่า “โอเวอร์รีแอ็ก”
ขณะที่ พล.ท.กิตติพงษ์ แจ่มสุวรรณ แม่ทัพภาคที่ 3 รวมถึง พล.ท.ณรงค์ฤทธิ์ คัมภีระ ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ ในฐานะผู้บังคับหน่วยขึ้นตรง ก็มาร่วมประชุมด้วย คาดว่าคงจะมีการสอบถามสถานการณ์กันในวงนอกเกี่ยวกับการเจรจากับ ผบ.กกล.ว้าแดง โดยก่อนหน้านั้น พล.ท.กิตติพงษ์ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวที่จังหวัดพิษณุโลกค่อนข้างชัดว่า “กองทัพภาคที่ 3 เราก็มีความพร้อมที่จะปฏิบัติหน้าที่หรือพร้อมรบในทุกสถานการณ์ แต่เนื่องจากว่าการเจรจานั้นยังคงมีหลายระดับชั้นขึ้นไปที่ยังคงสามารถมาตกลงเจรจากันได้อยู่ การใช้กำลังเป็นทางเลือกสุดท้าย ความขัดแย้งมีอยู่ทั่วโลก ไม่จำเป็นแล้ว ก็อย่าไปเพิ่มความขัดแย้งขึ้นไปอีก และวันที่ 18 ธันวาคม ก็ไม่ใช่วันกำหนดเส้นตายอย่างใด เพียงแต่ฝ่ายตรงข้ามจะมาให้คำตอบเท่านั้น ทหารของกองทัพภาคที่ 3 ขณะนี้มีความพร้อมตลอด 24 ชั่วโมง และในช่วงนี้อยู่ในช่วงของการฝึกตามวงรอบประจำปี อาจมีการเคลื่อนย้ายกำลังพลและอาวุธยุทโธปกรณ์เข้าสนามฝึกในพื้นที่ต่างๆ”.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ฤๅการเมืองไทยเป็นได้แค่ธุรกิจ
คนที่รู้เรื่องรัฐศาสตร์และเรื่องการปกครองจะเข้าใจว่าการเมืองคือ การบริหารจัดการแบ่งปันอำนาจและทรัพยากรของชาติ ให้แก่ประชาชนที่เป็นพลเมืองของประเทศบนพื้นฐานของกฎกติกาที่เป็นธรรม John Locke
วิกฤตแห่งความจริงกับ'เงาปิศาจ'
ระหว่างที่ใครต่อใครกำลังตื่นเต้นกับข่าวคราวผงาดขึ้นมาของ DeepSeek หรือ AI ของจีน ชนิดต้องหันไปเทขายหุ้น ChatGPT ของอเมริกาจนมูลค่าตลาดหายไปเป็นแสนๆ
อาวุโส 33% กินแห้ว!
เห็นที "สีกากี" ประเภท "แก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นาน" ในการแต่งตั้งตำรวจระดับ รองผู้บังคับการ (รอง ผบก.) ลงมาถึง สารวัตร (สว.) วาระประจำปี 2567 จะต้องเหนื่อย
แม้เมืองมีปัญหาเศรษฐกิจ แต่บางท่านอาจรวย(ตอนจบ)
ตอนนี้มาว่ากันถึงหลักโหรที่ส่งสัญญาณล่วงหน้าว่า ถึงแม้ต่อจากวันเกิดเมืองที่ 21 เมษายน 2568 ไปนี้ เมืองจะเริ่มเข้าเคราะห์
ไม่โปร่งใส...ไร้นิติธรรม
ความโปร่งใสของการบริหารราชการแผ่นดินของประเทศ เป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ประเทศของเรามีความน่าเชื่อถือ และประเทศอื่นๆ ในประชาคมโลกพร้อมที่จะคบหาสมาคมกับเรา ไม่ว่าการลงทุน การค้าขาย การมาเที่ยว รวมทั้งการอพยพเข้ามาพำนักอยู่ในประเทศ ประเทศที่มีความโปร่งใสในการบริหาร นักการเมือง ข้าราชการจะต้องมีการปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามกฎหมาย แสดงให้ชาวโลกเห็นว่าประเทศไทยเราเป็นนิติรัฐที่ให้ความสำคัญกับหลักนิติธรรม
ถ้าประชาธิปไตยมันชั่ว...ก็เลิกเถอะ???
ด้วยเหตุเพราะไม่คิดจะ วิ่งไล่กวดเทคโนโลยี มานานแล้ว!!!...ไม่ว่าด้วยเหตุเพราะวัยและสังขาร หรือด้วยเพราะความ แปลกแยก ต่อสิ่งเหล่านี้เป็นการส่วนตัว