การเจรจารอบปี 2025 คือการเริ่มเล่นงานอิหร่านอีกครั้ง อาจต่างกันที่รายละเอียดวิธีการตามบริบทล่าสุด เป้าหมายสุดท้ายคือล้มระบอบอิหร่าน
มีนาคม 2025 ประธานาธิบดีทรัมป์ขอเจรจาเรื่องนิวเคลียร์ พร้อมกับสั่งยกระดับคว่ำบาตรแบบกดดันสุดขีด (maximum pressure) ดังที่ทำในสมัยแรก ทั้งยังขู่ว่าความตึงเครียดอาจนำสู่สงคราม ด้านอิหร่านตอบว่าไม่สนใจร่วมโต๊ะเจรจาหากถูกข่มขู่คุกคาม ประธานาธิบดีทรัมป์ “อยากทำอะไรก็ทำเลย” อิหร่านไม่จำต้องรับคำสั่งจากสหรัฐ ย้ำโครงการนิวเคลียร์มีเพื่อสันติเท่านั้น ไม่มีส่วนใดที่เกี่ยวข้องกับการทหาร
ภาพ: กองทัพอิหร่านตระเตรียมพร้อมรบต่อเนื่อง
เครดิตภาพ: https://www.tehrantimes.com/news/510487/Exclusive-Army-Ground-Force-transforming-with-modern-equipment
ย้อนหลังข้อตกลง JCPOA:
การเจรจานิวเคลียร์ไม่ใช่เรื่องใหม่ อาจย้อนหลังหลายทศวรรษนับจากอิหร่านพัฒนานิวเคลียร์ การเจรจารอบปี 2025 สามารถตีความว่าคือการเริ่มเล่นงานอิหร่านอีกครั้ง คราวนี้คือภายใต้ทรัมป์ 2.0 การเจรจาจึงไม่มีอะไรใหม่ เป้าหมายคือเล่นงานอิหร่านเท่านั้นเอง อาจต่างกันที่รายละเอียดวิธีการตามบริบทล่าสุด
สมัยรัฐบาลบารัค โอมาบา (Barak Obama) ได้นำอิหร่านเข้าสู่โต๊ะเจรจา ในที่สุดอิหร่านกับกลุ่ม P-5+1 ที่ประกอบด้วยสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงทั้ง 5 ชาติ (อังกฤษ ฝรั่งเศส จีน รัสเซีย สหรัฐ) กับอีกประเทศคือเยอรมนี บรรลุข้อตกลงแก้ไขปัญหาโครงการนิวเคลียร์ฉบับสมบูรณ์ หรือที่เรียกว่า Joint Comprehensive Plan of Action (JCPOA) เมื่อกรกฎาคม 2015
ภายใต้ข้อตกลงฯ เจ้าหน้าที่ของทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) จะเข้าตรวจสอบให้มั่นใจว่าอิหร่านทำตามข้อตกลง ป้องกันแอบผลิตอาวุธ โดยจะตรวจตราทั้งระบบตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ เป็นมาตรการตรวจสอบที่เข้มข้นกว่าทุกประเทศในโลก
หลังการตรวจสอบ เจ้าหน้าที่ IAEA ยืนยัน อิหร่านทำตามข้อตกลง รัฐบาลสหรัฐกับอีก 5 ชาติคลายการคว่ำบาตร ที่น่าแปลกคือ นายกฯ เนทันยาฮูไม่พอใจ เชื่อว่าอิหร่านยังสามารถผลิตอาวุธนิวเคลียร์ได้อย่างรวดเร็วและจะใช้โจมตีอิสราเอล
แม้โครงการนิวเคลียร์อิหร่านมีข้อสงสัย หลายทศวรรษที่ผ่านมาพิสูจน์แล้วว่าอิหร่านยังไม่มีระเบิดนิวเคลียร์ เท่ากับพิสูจน์แล้วว่าตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาคำกล่าวหาของอิสราเอลเป็นเท็จ ในทางตรงข้าม นานาชาติล้วนรับรู้ว่าอิสราเอลมีหัวรบนิวเคลียร์ไม่ต่ำกว่า 90 ลูก สามารถทำลายล้างภูมิภาคตะวันออกกลางอย่างราบคาบ
หลักคิดของรัฐบาลเนทันยาฮูคือ อิหร่านต้องการทำลายอิสราเอลให้สิ้นซาก หากวันใดอิหร่านมีอาวุธนิวเคลียร์จะเป็นหายนะของอิสราเอล จึงเป็นความชอบธรรมที่จะต่อต้านระบอบอิหร่าน กีดกันไม่ให้มีอาวุธนิวเคลียร์สุดกำลัง
รัฐบาลอิหร่านเคยพูดเรื่องการลบอิสราเอลออกจากแผนที่จริง เป็นเรื่องที่ผูกโยงกับศาสนา
ทรัมป์ฉีกสัญญาฝ่ายเดียว:
นับจากมีข้อตกนิวเคลียร์ JCPOA IAEA กับชาติคู่เจรจา ต่างยืนยันว่าอิหร่านทำตามข้อตกลงเรื่อยมา แต่แล้วเหตุการณ์พลิกผัน ตุลาคม 2018 ทรัมป์ประกาศว่าอิหร่านไม่ทำตามข้อตกลงครบถ้วนจึงขอถอนตัว ที่น่าประหลาดคือสหรัฐเป็นประเทศเดียวในหมู่ประเทศคู่สัญญาที่ชี้ว่าอิหร่านไม่ปฏิบัติตามข้อตกลง ที่ผ่านมาประเทศคู่สัญญาล้วนยอมรับว่าอิหร่านปฏิบัติตาม JCPOA เกิดคำถามว่าใครเป็นฝ่ายผิด รัฐบาลสหรัฐผิด หรือรัฐบาลคู่สัญญาอื่นๆ ผิด รวมทั้ง IAEA ก็ผิดด้วย
เรื่องนี้พิสูจน์แล้วว่ารัฐบาลทรัมป์พูดโกหกคำโตต่อโลก รัฐบาลเสรีประชาธิปไตยทรัมป์ไม่สนใจว่าประชาคมโลกจะคิดอย่างไร บัดนี้ไม่มีใครประหลาดใจกับพฤติกรรมทรัมป์ที่พูดจริงบ้างเท็จบ้างไปเรื่อยๆ
เมื่อตอนที่ได้ข้อตกลง JCPOA รัฐบาลโอบามาคลายการคว่ำบาตร บริษัทเอกชนจากหลายประเทศเดินทางไปอิหร่านเพื่อลงทุนโดยเฉพาะบริษัทจากยุโรป รัฐบาลอิหร่านต้อนรับหวังเข้ามาลงทุนฟื้นฟูประเทศ แต่ในเวลาเพียงปีเดียวสหรัฐได้รัฐบาลใหม่เปลี่ยนนโยบายแบบหน้ามือเป็นหลังมือ รัฐบาลทรัมป์ประกาศ “ห้ามบริษัทเอกชนทุกประเทศ” ทำธุรกรรมกับอิหร่าน หาไม่จะโดนคว่ำบาตร นี่คือคำประกาศจากสหรัฐผู้พยายามชี้ว่าตนเป็นผู้นำทุนนิยมเสรีประชาธิปไตย ที่ออกกฎด้วยตัวเองห้ามใครก็ตามไปลงทุนในอิหร่าน หลายบริษัทที่กำลังลงทุนในช่วงนั้นจึงถอนตัวแทบไม่ทัน เสียหายมากมาย ไม่สามารถเรียกชดเชยจากใคร
กลายเป็นเหตุให้จีนกับรัสเซียเข้าไปลงทุนมหาศาลโดยปราศจากคู่แข่งตะวันตก นโยบายกดดันสุดขีดกลายเป็นลาภของจีนกับรัสเซีย และในยามที่นานาชาติไม่สามารถซื้อน้ำมันอิหร่าน จีนคือผู้รับซื้อรายใหญ่ (บางประเทศที่เป็นมิตรกับสหรัฐยังซื้อได้แต่ต้องขออนุญาตจากรัฐบาลสหรัฐก่อน)
ทำไมการเจรจาไม่น่าสนใจ:
รัฐบาลทรัมป์ 2.0 ขอเจรจาอิหร่านอีกครั้ง ความจริงแล้วรัฐบาลสหรัฐทั้งทรัมป์ 1.0 กับสมัยไบเดนต่างเคยขอการเจรจาใหม่
มกราคม 2020 ทรัมป์ 1.0 เสนอทำข้อตกลงนิวเคลียร์ใหม่แทนข้อตกลงเดิมที่ทำไว้เมื่อปี 2015 ตามแนวทางของทรัมป์ที่ใช้วิธียกเลิกข้อตกลงเดิมแล้วทำใหม่ ด้านอิหร่านยืนยันไม่ยอมแก้ไขข้อตกลงใดๆ ที่ทำไว้เมื่อปี 2015 เพราะที่ลงนามสมัยโอบามานั้นทุกฝ่ายยอมรับแล้ว ทรัมป์ยกเลิกสัญญานี้เพื่อเจรจาใหม่จึงไม่เหมาะสม
ทุกวันนี้อิหร่านยังคงจุดยืนไม่ต้องเจรจาใหม่ แค่ทุกฝ่ายรักษาข้อตกลง JCPOA
ความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้คือ รัฐบาลทรัมป์มักยกเลิกสัญญาฝ่ายเดียว ยกตัวอย่าง ความร่วมมือแก้ไขปัญหาโลกร้อน การขึ้นกำแพงภาษีตามใจชอบ และข้อตกลงนาฟตา (NAFTA)
เมื่อพูดถึงการค้าเสรี ความตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (North American Free Trade Agreement: NAFTA) เป็นตัวอย่างที่โดดเด่น ตำราตะวันตกมักใช้เป็นตัวอย่างพูดถึงความดีความงามของการค้าเสรี NAFTA เป็นตัวอย่างการค้าเสรีระดับภูมิภาค
แต่ทรัมป์อ้างเหตุผลง่ายๆ ว่า NAFTA มีอายุ 23 ปีแล้ว บริบทเศรษฐกิจสหรัฐและการค้าโลกเปลี่ยนแปลงแตกต่างจากเดิม ประเทศขาดดุลมหาศาล โรงงานนับพันปิดตัว แรงงานอเมริกันตกงานเป็นล้าน สรุปสั้นๆ คือสหรัฐเห็นว่าตน “เสียมากกว่าได้” จึงขอยกเลิกข้อตกลงเดิมเพียงฝ่ายเดียวและเจรจาใหม่
การที่สหรัฐทำเช่นนี้ได้เพราะเป็นมหาอำนาจ สามารถข่มขู่แกมบังคับประเทศเล็ก หากแคนาดากับเม็กซิโกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ คงยกเลิกข้อตกลงอย่างที่สหรัฐทำไม่ได้
เป็นอีกตัวอย่างที่สหรัฐจะยกสัญญาเมื่อไหร่ก็ได้ รัฐบาลสหรัฐชอบพูดถึงระเบียบโลกที่ตั้งอยู่บนกฎเกณฑ์ ขอให้นานาชาติปฏิบัติตาม แต่หมายถึงระเบียบโลกที่สหรัฐเป็นผู้กำหนดกติกา ไม่ว่านานาชาติจะชอบหรือไม่ แน่ล่ะสหรัฐได้ประโยชน์สูงสุด
จะบั่นทอนทำลายระบอบอิหร่าน:
ถ้ามองในกรอบกว้าง นับจากปี 1979 รัฐบาลสหรัฐคว่ำบาตรอิหร่านเรื่อยมาจนบัดนี้กว่า 4 ทศวรรษแล้ว ที่ทำเช่นนี้เพราะหวังว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงภายใน
การล้มรัฐบาล ล้มระบอบประเทศอื่นๆ เป็นวิธีการที่รัฐบาลสหรัฐใช้มาเนิ่นนาน ปี 1953 รัฐบาลไอเซนฮาวร์ (Eisenhower) ร่วมมือกับอังกฤษโค่นล้มรัฐบาลมอสซาเดก (Mossadegh) แห่งอิหร่าน ยกข้ออ้างเรื่องป้องกันภัยคุกคามจากคอมมิวนิสต์ ทั้งๆ ที่มอสซาเดกคือรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย ข้อเท็จจริงคือมอสซาเดกทำให้บรรษัทน้ำมันตะวันตกสูญเสียสัมปทาน สูญเสียกำไรมหาศาล ซึ่งความจริงแล้วน้ำมันเป็นทรัพยากรของชาวอิหร่านทั้งมวล แต่อิหร่านได้ผลประโยชน์เพียงน้อยนิดเพราะรัฐบาลก่อนหน้าไร้อำนาจต่อรอง
รัฐบาลอิหร่านปัจจุบันมาจากการปฏิวัติอิหร่าน (1977-79) ไม่ยอมอยู่ใต้อำนาจตะวันตก จึงถูกคว่ำบาตรเรื่อยมา รัฐบาลสหรัฐไม่ว่ามาจากรีพับลิกันหรือเดโมแครตจะตีตราว่าอิหร่านเป็นปรปักษ์สำคัญที่ต้องจัดการเรื่อยมา ดังนั้นไม่ว่าอิหร่านจะเจรจากับทรัมป์หรือไม่ ข้อตกลงเป็นอย่างไร ลึกๆ แล้วรัฐบาลสหรัฐต้องการล้มระบอบอิหร่าน
ในการเจรจารอบปี 2025 อยาตุลเลาะห์ ซัยยิด อาลี คาเมเนอี (Ayatollah Seyyed Ali Khamenei) นำสูงสุดอิหร่านกล่าวว่า สหรัฐ “ไม่หวังเจรจาเพื่อแก้ปัญหา แต่เพื่อครอบงำต่างหาก” พฤติกรรมของรัฐบาลทรัมป์ชัดเจนอยู่แล้ว จะข่มขู่ คุกคามด้วยกำลังทหาร แม้กระทั่งขอให้เดนมาร์กเสียดินแดน แคนาดาต้องสิ้นชาติ.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
เมื่อทรัมป์ยึดลัทธิคุ้มครองทางการค้า
สิ่งแอบแฝงหรือข้อตกลงลับที่มาพร้อมกับภาษีทรัมป์ คือมาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (NTBs) นักลงทุนทั่วโลกรับรู้ว่าตลาดสหรัฐมีความเสี่ยงสูงมาก
สิ่งแอบแฝงที่มากับภาษีทรัมป์2.0 (1)
ลัทธิล่าอาณานิคมยุคใหม่ (neocolonialism) ชาติมหาอำนาจจะต่อต้านโลกหลายขั้ว ต่อต้านการแข่งขันเสรี และจะบีบให้ประเทศอื่นๆ ยอมรับข้อตกลงที่เอื้อประโยชน์แก่ตน
แผน100วันล้มระบอบอิหร่าน2025
มาจากแผนระยะยาวที่ตั้งใจว่าวันหนึ่งจะต้องล้มระบอบอิหร่านให้จงได้ รัฐบาลทรัมป์มาแล้วก็ไปแต่ความตั้งใจล้มอิหร่านจะอยู่ต่อไป
โครงการนิวเคลียร์อิหร่านกับสหรัฐ2025 (2)
จุดยืนร่วมจีน รัสเซีย และอิหร่าน 2025 บ่งบอกว่าจีนกับรัสเซียทนไม่ได้ที่รัฐบาลสหรัฐเล่นงานอิหร่านด้วยโครงการนิวเคลียร์อีกแล้ว
แนวคิดนโยบายต่างประเทศของรัสเซีย 2023 (3)
รัสเซียหวังระบบโลกหลายแกนนำที่มีความเท่าเทียมมากขึ้น อันจะส่งเสริมความมั่นคงของตน แต่เท่ากับขัดขวางฝ่ายตรงข้าม
เจ้าพ่อทรัมป์ (Trump the Godfather)
ทรัมป์ไม่ได้ทำงานคนเดียว ต้องรวมสมาชิกรัฐสภารีพับลิกัน รวมทั้งคนอเมริกันหลายล้านคนที่สนับสนุนอย่างแข็งขัน เป็นพวกอำนาจนิยม