
บรรดาข้าทาสบริวารขออง สทร.ที่ทำหน้าที่เป็นนายแบก นางแบกทั้งหลาย ต่างพากันออกมายืนยันว่า สทร.ป่วย แล้วก็ต่อว่าต่อขานผู้คนที่เขาเห็นด้วยกับการแถลงของแพทยสภาว่า ทำไมพูดกันว่า สทร.ไม่ป่วย ในเมื่อ สทร.เขาป่วย แล้วแพทยสภาจะแถลงว่าไม่ป่วยได้อย่างไร เดี๋ยวนะ นายแบก นางแบกทั้งหลาย โปรดเข้าใจใหม่ แพทยสภาไม่ได้พูดว่า สทร.ไม่ได้ป่วย แต่เขาพูดว่า ไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ว่า สทร.ป่วยวิกฤต ดังนั้นการอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจ 180 วัน จึงเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะถูกต้อง การแถลงเช่นนี้น่าจะเป็นผลจากการพิจารณาเอกสารต่างๆ รวมทั้งเวชระเบียนที่ได้รับมา
คณะกรรมการแพทยสภาคงเห็นว่า สทร.ป่วย แต่ไม่ถึงขั้นวิกฤตจนต้องรักษาอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจยาวนานถึง 180 วัน
การเอาตัว สทร.ออกจากโรงพยาบาลราชทัณฑ์ไปอยู่ที่ห้อง VVIP โรงพยาบาลตำรวจ 180 วัน โดยอ้างว่าต้องอยู่ใกล้หมอตลอดเวลา มิฉะนั้นแล้วอาจจะมีความเสี่ยงถึงชีวิต จึงเป็นการกระทำที่ไม่น่าจะถูกต้อง การเซ็นให้ สทร.ออกไปรักษานอกโรงพยาบาลราชทัณฑ์ไม่ควรเกิดขึ้น และที่คนจำนวนมากมีข้อสงสัยก็คือ เมื่อครบ 30 วัน 60 วัน 120 วัน จนถึง 180 วัน หมอที่โรงพยาบาลตำรวจต้องเขียนรายงานอาการของ สทร.ว่าเป็นอย่างไร จึงส่งผลให้ สทร.ควรได้อยู่รักษาตัวต่อที่โรงพยาบาลตำรวจต่อทุกระยะ 30 วัน หมอเขาอ้างอาการอะไร และเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ตลอดจนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมพิจารณาข้อเสนอของหมออย่างไร จึงยอมให้ สทร.อยู่รักษานอกเรือนจำได้นานถึง 180 วัน ที่ครบกำหนดวันของการกักขัง แล้วได้ออกไปพักโทษที่บ้าน
สทร.ป่วยเป็นอะไรกันแน่ เหล่าบรรดาข้าทาสบริวารลิ้นกระดาษทราย น้ำลายเน่าทั้งหลายพูดจาไม่ตรงกัน ที่พูดมาแต่ละโรค ก็ไม่น่าจะเป็นการป่วยวิกฤตแต่อย่างใด บางคนมีการพูดว่า สทร.ต้องผ่าตัด ก็มีคำถามอีกว่าผ่าตัดอะไรที่ต้องพักฟื้นหลังผ่าตัดยาวนานเป็นร้อยกว่าวัน เกิดมาไม่เคยได้ยินว่าคนที่ได้รับการผ่าตัด ไม่ว่าจะผ่าตัดใหญ่แค่ไหน เขาก็พักฟื้นกันไม่ถึงเดือน ถ้าหากจะมีมากกว่า 1 เดือน ก็อาจจะมี แต่ก็น้อยมาก
ในขณะที่เรื่องการพักฟื้นหลังผ่าตัด ไม่มีมีความชัดเจน แต่ที่ชัดเจนคือ พฤติกรรมของ สทร.เมื่อออกจากโรงพยาบาลที่ไม่ได้แสดงให้เห็นว่า สทร.เพิ่งฟื้นจากการป่วยวิกฤตแต่อย่างใด ออกมาปุ๊บ แข็งแรงปั๊บ ไปไหนต่อไหนได้ ตีกอล์ฟได้ กินเลี้ยงได้ ร้องเพลงได้ ขึ้นเวทีหาเสียงได้ แล้วแบบนี้ใครจะเชื่อว่าช่วง 180 วันที่อยู่ในห้อง VVIP ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจนั้น สทร.ป่วยวิกฤตแบบถ้าห่างหมออาจจะตายได้ คนเขาไม่เชื่อ โดยไม่ต้องหาหลักฐานใดๆ มายืนยัน พฤติกรรมของ สทร.เมื่อได้ออกมาพักโทษนั่นแหละ คือหลักฐานที่ชัดเจนที่สุด
ข้าทาสบริวารของ สทร.ออกมาบอกว่าคนที่เห็นด้วยกับคำแถลงของแพทยสภานั้นเป็นคนที่ใช้อารมณ์ความรู้สึกตัดสินอาการป่วยของ สทร. ไม่ได้ดูหลักฐานหรือข้อกฎหมายใดๆ เขาแนะนำว่าอย่าใช้ความรู้สึกตัดสินนายของเขา ให้ใช้ความจริง ก็การที่พวกเราได้ฟังแพทยสภาแถลง แล้วเราเชื่อ ตามนั้น มันเป็นเรื่องความรู้สึกตรงไหน มันเป็นการรับรู้จากหมอมืออาชีพที่ทำการสอบสวนมาแล้วไม่ใช่เหรอ ขี้ข้าบางคนบอกว่าคนที่เห็นด้วยกับคำแถลงของแพทยสภา และอยากให้ดำเนินการเรื่องการรับโทษของ สทร.ตามกฎหมาย ว่าเป็นคนใจดำ หาว่าเราอยากให้คนแก่อายุ 75 ปีที่ป่วยไข้เข้าคุกให้ได้ ขอบอกว่า เราไม่ได้ใจดำ แต่เราต้องการเห็นการดำรงรักษาความถูกต้องของกระบวนการยุติธรรม ไม่ให้ใครมาย่ำยีอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้
เอาเป็นว่า “ป่วยจริง แต่ไม่วิกฤต” อาจจะยังเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันต่อไปจนกว่าศาลจะไต่สวนเสร็จ แต่สิ่งที่หลายคนมั่นใจคือ มันมีขบวนการช่วยให้ สทร.ไม่ต้องติดคุกแม้แต่วันเดียว โดยอาจจะเป็นขบวนการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลท่านจึงไต่สวน ศาลที่มีอำนาจที่จะทำ ดังนั้น FC และนายแบก นางแบกทั้งหลายอย่าตำหนิศาลเลยนะ ใครมีข้อเท็จจริงอะไรก็บอกศาลไปตามจริงเถอะนะ
ลองมาไล่เรียงดูว่า อาการของ สทร.เป็นเช่นไร
- อยู่ต่างประเทศแข็งแรงดี มีภาพโชว์ชัดเจน
- ก่อนกลับไทย ไปสิงคโปร์ มีใบรับรองแพทย์ว่าป่วย
- นั่งบนเครื่องบินยิ้มแย้มแจ่มใสดี
- มาถึงประเทศไทย ท่าทางแข็งแรง ทักทาย FC ด้วยอาการยิ้มแย้มแจ่มใส
- ไปศาลด้วยวิธีการที่พิเศษกว่าคนอื่น ไปรถส่วนตัว
- เมื่อถึงเรือนจำ ไม่มีการกร้อนผม ไม่มีการเปลี่ยนชุดเป็นนักโทษ
- อยู่เรือนจำแยกตัวเข้าโรงพยาบาลราชทัณฑ์ อ้างว่าป่วย 4 โรค ไม่ต้องเข้าคุก
- ยังไม่ทันข้ามคืน เกิดอาการป่วยหนักแบบที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ไม่อาจรักษาได้ เป็นการป่วยวิกฤต จึงต้องส่งโรงพยาบาลตำรวจ แทนที่จะส่งโรงพยาบาลที่ใกล้ๆ กับเรือนจำ
- มาถึงโรงพยาบาลตำรวจ ไม่ได้เข้าห้องฉุกเฉิน แต่ไปอยู่ห้อง VVIP ชั้น 14 ของโรงพยาบาลตำรวจที่มีรายงานว่ากล้องวงจรปิดเสียทั้งหมด
- อยู่ที่ห้อง VVIP ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ 30 วัน 60 วัน 120 วัน ต้องทำรายงานให้ราชทัณฑ์เพื่อบอกว่า สทร.มีอาการป่วยที่ยังต้องอยู่ที่ห้อง VVIP
- ตลอดเวลาที่อยู่ที่ห้อง VVIP ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ไม่มีการแถลงอาการป่วยของ สทร.แต่อย่างใด อ้างเป็นสิทธิของผู้ป่วย จนคนเขาสงสัยว่าป่วยเป็นอะไร ถึงบอกสังคมไม่ได้
- อยู่ที่ห้อง VVIP ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจจนครบ 180 วัน ได้ออกมาพักโทษที่บ้าน โดยไม่มีอาการของคนป่วยหนักขั้นวิกฤตที่ต้องการฟื้นไข้
- หลังจากนั้นก็ร่อนไปโน่นไปนี่ มีกิจกรรมหลายๆ อย่างที่ไม่เหมือนคนที่ป่วยขั้นวิกฤตที่ต้องอยู่ใกล้หมอมานาน 180 วัน
อาการทั้งหมดนี้ แต่ละขั้นตอน มีใครเชื่อบ้างว่า สทร.ป่วยขั้นวิกฤตถึงขนาดที่จะต้องอยู่ใกล้หมอยาวนานถึง 180 วัน หลายสิ่งหลายอย่างมีพิรุธที่ทำให้คนสงสัยว่าป่วยจริงหรือป่วยทิพย์เพื่อไม่ต้องติดคุกแม้แต่วันเดียวเหมือนที่เคยลั่นวาจาไว้ บัดนี้ จากการแถลงของแพทยสภา ทำให้เรารู้ว่า ถ้าหาก สทร.ป่วยจริง แต่ก็ไม่ได้ป่วยถึงขั้นวิกฤตที่จะต้องนอนรักษาตัวอยู่ที่ห้อง VVIP ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ผู้คนจำนวนมากจึงลงความเห็นว่าต้องมีขบวนการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายช่วย สทร.แน่นอน.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
สองพ่อลูก...สองแผ่นดิน ฤๅจะสิ้นวาสนาและบารมี
เวลาความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชาสืบเนื่องมาเป็นร้อยปี หากจะมองตั้งแต่ยุคต้นของรัตนโกสินทร์ อาณาจักรกัมพูชาในตอนนั้นคืออาณาจักรเขมรที่เป็นประเทศราชของสยามมาจนถึงรัชกาลที่ 4
ประเทศไทยกับ'หมากตาอับ'!!!
ภายใต้โลกยุคใหม่ สังคมสมัยใหม่...คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้ว่า บรรดา ทวยไทย หรือ ปวงชนชาวไทย ท่านได้ เปลี่ยนแปลง ไปเยอะแล้ว แบบชนิด พลิกหน้ามือเป็นหลังตีน
สีกากีติดลบ!
ยิ่งกว่าพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรก แวดวง "สีกากี" แค่เพียงสัปดาห์เดียวก็มีบุคลากรตกเป็นผู้ต้องหา ตกเป็นจำเลย ตกเป็นที่พูดถึงในมุมลบของสังคมแทบจะเป็นรายวัน
แรงกดดันดร.ทักษิณยังเป็นเพียงหนังตัวอย่างของคนลัคนาสถิตกันย์
ก่อนหน้านี้ผู้เขียนเคยให้สัมภาษณ์สื่อหลายแห่งรวมทั้งที่ไทยโพสต์ คุณศลิลนา ภู่เอี่ยม และคุณบุญระดม จิตรดอน ที่แนวหน้า ว่า ดร.ทักษิณ ชินวัตร ที่ ลัคนาส
'ดร.เสรี' งง! เขมร ถอยหรือไม่ถอย มีคนหลอกนักข่าว ข้องใจใครสั่ง
ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการด้านการตลาดและการสื่อสาร โพสต์ข้อความว่า งง สับสน ใครรู้ความจริง.ช่วยยืนยันหน่อยเถอะค่ะ ว่าเขมร
ฤๅเขาคือเจ้าของประเทศ
มีคนคนหนึ่งประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจ ทำให้เขากลายเป็นอภิมหาเศรษฐีมีเงินเป็นแสนๆ ล้าน เขามีความร่ำรวย แต่เขาไม่พอเท่านั้น เขามีความทะเยอทะยานอยากเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย