ฤๅเขาคือเจ้าของประเทศ

มีคนคนหนึ่งประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจ ทำให้เขากลายเป็นอภิมหาเศรษฐีมีเงินเป็นแสนๆ ล้าน เขามีความร่ำรวย แต่เขาไม่พอเท่านั้น เขามีความทะเยอทะยานอยากเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย และแล้วเขาก็มีโอกาสได้ทำงานการเมือง เริ่มต้นด้วยการเป็นสมาชิกพรรคที่มีภาพลักษณ์เป็นพรรคน้ำดีที่ซื่อสัตย์สุจริต และจากโอกาสดังกล่าวนั้น เขาก็ตั้งพรรคของเขาเอง และเริ่มทำงานการเมืองอย่างเอาจริงเอาจัง

ในช่วงของการเริ่มต้นชีวิตทางการเมือง มีข่าวหนาหูว่าเขาใช้วิธีการดูดนักการเมืองพรรคต่างๆ

ที่มีแววจะเป็นผู้ชนะการเลือกตั้งเข้าพรรคของเขาด้วยเงินที่มีอย่างมหาศาล และแล้วพรรคของเขาก็ได้ชัยชนะในการเลือกตั้ง และตัวเขาเองได้เป็นนายกรัฐมนตรีสมใจนึก ในยามนั้นประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาใหญ่ คือ เศรษฐกิจตกต่ำมาตั้งแต่ปี 2540 และกำลังฟื้นตัวอย่างช้าๆ ภาพของเขาในฐานะที่เป็นผู้ประสบความสำเร็จทางธุรกิจ ทำให้ผู้คนจำนวนมากเชื่อว่าเขาจะเป็นผู้มากอบกู้เศรษฐกิจของประเทศได้ และในขณะเดียวกัน คนไทยจำนวนมากก็เป็นคนที่เกลียดกลัวการคอร์รัปชันมาก ดังนั้นวาทกรรม “รวยแล้วไม่โกง” จึงเป็นถ้อยคำที่ได้ผล เขาให้สัมภาษณ์สื่อว่าในวัย 51 ปี ซึ่งเท่ากับครึ่งชีวิตแล้ว มีความสำเร็จระดับสูง หากเขาโกงบ้านโกงเมือง ก็ต้องถือว่าเขาเป็นคนชั่ว

อย่างไรก็ตาม เพียงแค่การได้ชัยชนะครั้งแรก เขาก็พบกับวิบากกรรมเรื่องการซุกหุ้น แต่เขาก็รอดด้วยวาทกรรมว่า “บกพร่องโดยสุจริต” และผู้ซึ่งมีหน้าที่พิจารณาการกระทำของเขามองว่าเขาได้รับชัยชนะจากการเลือกตั้งด้วยคะแนนท่วมท้น คณะกรรมการที่จะต้องตัดสินว่าเขาผิดหรือถูกเพียงไม่กี่คน จะลงคะแนนเสียงให้ต่างไปจากความต้องการของประชาชนได้อย่างไร ทำให้เขามีโอกาสได้ทำหน้าที่บริหารประเทศในฐานะประมุขฝ่ายบริหาร

สิ่งที่ปรากฏชัดเจนก็คือ ชัยชนะของเขาเป็นเพราะเขาใช้นโยบายประชานิยมที่เน้นการแจก การให้ ด้วยการใช้งบประมาณแผ่นดินทำโครงการประชานิยม สร้างคะแนนนิยมให้กับพรรค คนจำนวนมากพอใจจนถึงขั้นเสพติดประชานิยม ดังนั้น พอมีการเลือกตั้งอีก เขาก็ชนะการเลือกตั้งอีก นอกจากประชาชนจะเลือกเขาแล้ว นักการเมืองที่ต้องการชนะการเลือกตั้ง ต่างก็หลั่งไหลเข้าสังกัดพรรคของเขา โดยเฉพาะนักการเมืองบ้านใหญ่ ทำให้พรรคของเขาสามารถชนะการเลือกตั้งในครั้งที่สองด้วยคะแนนท่วมท้นจนสามารถตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้ เกิดปรากฏการณ์ “เผด็จการทางรัฐสภา” เพราะรัฐบาลของเขาสามารถบริหารประเทศแบบที่ฝ่ายค้านทำอะไรเขาไม่ได้เลย และเหล่าบรรดา สส.ทั้งหลายก็มีความจงรักภักดีกับเขามาก เขาจะสั่งจะบัญชาให้ สส.ในสังกัดทำอะไร ทุกคนก็ยินดีที่จะทำตามโดยไม่มีการขัดใจ จนตัวเขาเองเรียก สส.ในพรรคของเขาว่า “หมาในคอก”

การดำเนินโครงการประชานิยม และโครงการอื่นๆ ตามนโยบายของพรรคเขานั้น หลายโครงการไม่โปร่งใสมีการโกงกินมหาศาล เป็นการโกงกินแบบ “คอร์รัปชันเชิงนโยบาย” คือการออกนโยบายที่มีผลประโยชน์ทับซ้อน ธุรกิจของครอบครัว และตัวเขาเองได้ประโยชน์จากโครงการต่างๆ ตามนโยบายที่เขากำหนดขึ้นมา หลายครั้งที่มีคนพยายามจะเอาผิดเขา แต่ก็ไม่สามารถที่จะเอาผิดเขาได้ ทั้งนี้เพราะเขาสร้างองคาพยพของเขาไว้กว้างขวาง ลุ่มลึก หลายภาคส่วน นอกจากนักการเมืองในสภาผู้แทนราษฎรจะทำตัวเป็นข้าทาสบริวารที่รับใช้เขาด้วยความภักดีแล้ว เขายังมีวุฒิสมาชิกบางคน นักวิชาการบางคน กรรมการองค์กรอิสระบางคนในบางหน่วยงาน คนในกระบวนการยุติธรรมบางคน ข้าราชการในกระทรวงทบวงกรมต่างๆ บางคน และสื่อมวลชนบางคนในบางสำนักก็เป็นข้าทาสบริวารที่ยินดีรับใช้เขาด้วยความภักดี โดยไม่สนใจว่าสิ่งที่ต้องทำนั้นผิดหรือถูกอย่างไร ทำให้เขาสามารถโกงบ้านโกงเมืองได้หลายกรณี สร้างความเสียหายให้ประเทศเป็นหมื่นเป็นแสนล้าน

แต่แล้ว เขาก็หนีบ่วงกรรมไปไม่พ้น การกระทำของเขากลายเป็นคดีฉ้อโกง ขึ้นโรงขึ้นศาลหลายสิบคดี คนที่เป็นลิ่วล้อข้าทาสบริวารของเขาต้องติดคุกกันระนาวหลายสิบปี แต่ตัวเขากลับรอดได้หลายคดี แต่สวรรค์ยังมีตา ในที่สุดตัวเขาเองก็ต้องโดนตัดสินให้เป็นคนผิดต้องติดคุก แต่อภิมหาเศรษฐีอย่างเขาหรือจะยอมติดคุก เขาลั่นวาจาว่าตัวเขาและคนในตระกูลของเขาจะต้องไม่ติดคุกแม้แต่วันเดียว แล้วเขาก็ทำได้จริงๆ ตามที่ลั่นวาจาไว้ แม้ว่าศาลจะตัดสินให้เขามีความผิดต้องติดคุก แต่เขาก็หนีไปได้ ด้วยความร่วมมือของคนบางคนในองคาพยพของเขา ต้องออกไปเร่ร่อนเป็นสัมภเวสีอยู่นอกประเทศถึง 17 ปี และตลอดระยะเวลา ไม่เห็นมีใครในประเทศจะมีความพยายามที่จะเอาตัวเขากลับมารับโทษ ไม่รู้ด้วยเหตุผลกลใด ทั้งๆ ที่มีลิ่วล้อข้าทาสบริวารของเขาบินไปพบเขาที่โน่นที่นี่อยู่หลายครั้งหลายครา ทำไมไม่มีใครกล้าจัดการกับเขา

หลังจาก 17 ปีผ่านไป เขาก็กลับมา ด้วยการบอกว่าจะยุติบทบาททางการเมือง และจะกลับมาเลี้ยงหลาน และแล้วการกลับมาของเขาก็เกิดการกระทำที่สร้างปัญหาให้กับกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทยอีกครั้งหนึ่ง เขาขอพระราชทานอภัยโทษจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้วยพระมหากรุณาธิคุณ เขาได้รับพระราชทานอภัยลดโทษจากการต้องติดคุก 8 ปี เหลือ 1 ปี แต่ถึงกระนั้นก็ตาม เขาก็ไม่ยอมที่จะนอนคุกแม้แต่วันเดียว เมื่อเข้าไปถึงเรือนจำ เขาก็ออกมาอยู่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ และยังไม่ทันข้ามคืนเขาก็ออกจากโรงพยาบาลราชทัณฑ์ออกไปอยู่ที่ห้อง VVIP ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ โดยอ้างว่าเกิดอาการป่วยรุนแรงในระดับที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ไม่อาจจะรับมือได้ และเขาก็อยู่ที่ห้อง VVIP ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจถึง 180 วันจนได้ออกมาพักโทษอยู่บ้าน

เมื่อออกจากห้อง VVIP ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ เขาก็ทำโน่นทำนี่หลายเรื่องหลายอย่างที่อาจจะผิดกฎหมาย ขัดรัฐธรรมนูญ มีคำร้องหลายเรื่องเกี่ยวกับการกระทำของเขา แต่ก็ไม่มีใครทำอะไรเขาได้ ตอนนี้มีการสอบสวนเรื่องการป่วยไข้ของเขาว่าป่วยจริงหรือป่วยทิพย์ ถ้าป่วยจริง มันหนักถึงขั้นวิกฤตที่จะต้องรักษานอกเรือนจำถึง 180 วันหนือไม่ การกระทำของเขาเมื่อออกมาอยู่บ้าน แล้วไปโน่นไปนี้ กินเลี้นง ตรวจงานโครงการต่างๆ ตีกอล์ฟ ขึ้นเวทีหาเสียง คนส่วนใหญ่ไม่มีใครเชื่อว่าเขาป่วยจริง หรือถ้าหากป่วยจริงก็ไม่ป่วยหนักถึงขั้นวิกฤต จากการสอบสวนของคณะกรรมการแพทยสภาก็บ่งบอกว่าเขาไม่ได้ป่วยถึงขั้นวิกฤต มีหมอถูกลงโทษ 3 คน มีทั้งทำงานไม่ได้มาตรฐาน และเขียนรายงานอาการคนไข้ไม่ตรงกับความจริง แต่แล้วรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขก็ Veto มติของแพทยสภา จนเกิดมีการตั้งคำถามกันว่า “สำหรับคนคนนี้ เขาจะทำอะไรก็ได้ จะผิดจะถูกอย่างไร ก็ไม่มีใครทำอะไรเขาได้” แบบนี้จะบอกว่าบ้านเมืองของเราเป็นของเขาไปแล้ว ใช่หรือไม่

เราจะปล่อยให้สถานการณ์เป็นเช่นนี้ไปอีกนานแค่ไหน ลูกสาวที่เขาผลักดันให้ได้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทั้งๆ ที่ไม่มีคุณสมบัติที่ใช่แม้แต่น้อย บัดนี้เวลาล่วงเลยมาถึงครึ่งปีแล้ว มันเป็นความจริงเชิงประจักษ์แล้วว่าลูกสาวทำหน้าที่ไม่ได้ เธอออกอาการไม่ไหวแล้ว รัฐมนตรีที่ทำงานภายใต้การกำกับของเธอ (หรือของพ่อเธอ) ทำงานไม่ได้เรื่อง เละเทะทุกกระทรวง จนหลายคนพูดว่า “ไม่เคยเห็นรัฐบาลใดบริหารประเทศได้แย่ขนาดนี้” ที่พูดกันแบบนี้ ทำได้แค่บ่น แต่ไม่มีใครทำอะไรเขาได้ หรือจะยอมยกประเทศให้ตระกูลของเขาเป็นเจ้าของที่จะทำอะไรก็ได้ จะเอากันแบบนี้ใช่ไหมคะ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

เมื่อนาฬิกากรรมทำงาน...ต้องดิ้นพล่านด่ากราด

หลายคนที่เชื่อเรื่องเวรกรรมและมองว่า สทร.ทำกรรมไว้กับประเทศมากมาย เคยบ่นว่าแม้กรรมจะมีจริง แต่ทำไมนาฬิกากรรมมันเดินช้า มันไม่ทันใจที่พวกเขาอยากจะเห็นคนที่ทำกรรมกับประเทศถูกกรรมไล่ล่า

ปรากฏการณ์‘Pretty Little Baby’

เมื่อช่วงสัปดาห์-สองสัปดาห์ที่แล้ว...มีข่าวต่างประเทศชิ้นเล็กๆ อยู่ข่าวหนึ่ง ที่ทำให้คนแก่-คนชราอย่าง อันตัวข้าพเจ้าเอง อดที่จะปลาบปลื้ม ยินดี ขึ้นมามิได้ นั่นก็คือข่าวเรื่องบทเพลงรุ่นเก่า

แต่งตั้ง 'นายพล' สีกากี

แวดวง "สีกากี" ปรับโหมดเข้าสู่การแต่งตั้ง "นายพล" วาระประจำปี 2568 แบบเต็มตัว ทุกขั้น ทุกตอน ทุกกระบวนการกำลังเดินหน้า หลังจากเมื่อต้นเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา

เตรียมรับมืออุบัติภัย-เสียหาย-เศร้าโศกร้ายแรงรอบใหม่

ดังที่ได้ทำนายไว้ล่วงหน้าแล้วว่า ปี 2568 นี้เมืองจะเจอกับอุบัติเหตุ หรืออุบัติภัยครั้งใหญ่ระดับเป็นข่าวไปทั่วโลกถึงสี่รอบ

ถึงแม้จะไม่ปรารถนา...แต่ว่าบางครั้งยังจำเป็น

ในสังคมประชาธิปไตย การจะได้รัฐบาล ต้องผ่านครรลองของการเลือกตั้ง ไม่ใช่รัฐประหาร ในเมื่อประเทศไทยเป็นประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

เทศนาปาฏิหาริย์!!!

ด้วยเหตุเพราะอ่านหนังสือซะหมดบ้าน!!! อย่างที่เคยบอกๆ เอาไว้แล้ว ก็เลยต้องหันไปคว้าหนังสือเก่า ว่าด้วยเรื่อง จาริกบุญ-จารึกธรรม ของ พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต)