อุทาหรณ์สอนใจจาก'หม่อมเจ้าพูนพิศมัย ดิศกุล'

คงเพราะบ่นกระปอดกระแปดไว้บ่อยๆ...ว่า อ่านหนังสือหมดบ้าน น้องๆ ที่ห่วงใย ดูแล ท่านเลยไปขนหนังสือใหม่ๆ มีทั้งเรื่องแปล เรื่องไทย ประวัติศาสตร์ ประวัติบุคคล ไปจนถึงนิทาน ฯลฯ มาให้อ่านซะให้เข็ด และก็มีอยู่เรื่องหนึ่งที่เพิ่งอ่านจบไปเมื่อวัน-สองวันที่แล้ว แต่ก็ให้ประโยชน์พอที่จะนำมา ปรับใช้ กับสถานการณ์ปัจจุบันได้เป็นอย่างดี นั่นก็คือหนังสือเรื่อง สิ่งที่ข้าพเจ้าพบเห็น ของ หม่อมเจ้าพูนพิศมัย ดิศกุล ที่ สำนักพิมพ์มติชน จัดพิมพ์เผยแพร่เป็นครั้งที่ 3-4-5-6-7 ครั้งล่าสุดเมื่อเกือบ 10 ปีที่แล้ว หรือเมื่อปี พ.ศ.2559 นี่เอง...

คือเป็นเรื่องราวบันทึกความคิด ความรู้สึก ของผู้เขียน โดยเฉพาะสำหรับช่วงการเปลี่ยนแปลงการปกครอง วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ.2475 ที่ส่งผลกระทบต่อผู้ซึ่งมีอำนาจอยู่ในขณะนั้น ไม่ว่าไล่มาตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ รัชกาลที่ 7 คณะรัฐบาลอันประกอบไปด้วยเสนาบดีทั้งหลาย รวมทั้งบรรดาผู้ที่มีเชื้อเจ้า พระบรมวงศานุวงศ์ในแต่ละระดับชั้น จนถึงสมเด็จกรมพระยาดำรงฯ พระบิดาบังเกิดเกล้าของผู้เขียนเอง อันทำให้สิ่งที่ผู้บันทึกเรื่องราวเหล่านี้เอาไว้ จนกลายเป็นหนังสือเล่มหนาๆ ความยาว 400 เกือบ 500 หน้า จึงออกจะน่าคิด น่าสะกิดใจ อีกทั้งน่าซาบซึ้ง ประทับใจ เป็นอย่างยิ่ง เพราะเต็มไปด้วยรายละเอียดของเหตุการณ์ ความรู้สึกนึกคิด นับตั้งแต่ต้องเจอแรงกดดันต่างๆ ขณะอยู่ในประเทศไทย ไปจนครั้งที่ต้องนิราศ หอบครอบครัวทั้งครอบครัว หลบลี้หนีภัยไปอยู่แถวๆ เกาะปีนัง โน่นเลย...

เรียกว่า...นอกจากจะได้มีโอกาสรับรู้ อารมณ์ความรู้สึก ต่างๆ ของผู้ที่ตกเป็นฝ่าย ถูกกระทำ หรือบรรดาพวกเจ้าทั้งหลาย ที่มีต่อบรรดาผู้ที่เชื่อว่าตัวเองเป็น นักประชาธิปไตย หรือผู้ที่คิดจะเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นประชาธิปไตยกันแทนที่ จนประเทศต้องวนไป-วนมาอยู่ภายใน อ่างประชาธิปไตย มานานเกือบร่วมๆ ศตวรรษจนตราบเท่าทุกวันนี้ ยังมีมุมมอง แง่คิด ที่อาจนำเอามาใช้ในการอรรถาธิบายถึงสิ่งที่เรียกว่า ชาตินิยม อันเป็นสิ่งที่บรรดาคนรุ่นใหม่ประเภท หัวเสรีนิยม ทั้งหลายในบ้านเราทุกวันนี้ ออกจะชิงชัง รังเกียจ หาว่า ไดโนเสาร์-เต่าพันปี เป็นการย้อนยุค ย้อนสมัย ที่พวก นักประชาธิปไตย หรือผู้ที่ก้าวหน้า-ก้าวไกล ทั้งหลายมิอาจรับได้เอาเลยถึงขั้นนั้น...

แต่แม้ว่าจะอยู่ในฐานะ พวกเจ้า ไม่ใช่ พวกนักประชาธิปไตย ดูๆ แล้ว หม่อมเจ้าพูนพิศมัย ดิศกุล ท่านก็ดูจะรับไม่ได้กับกับ ชาตินิยม ในยุคสมัยของท่าน หรือใน ยุคจอมพล ป. อยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะเมื่อสิ่งที่เรียกว่าชาตินิยมในช่วงระยะนั้น พยายามสร้างแรงกดดัน หรือกระทั่งบีบบังคับใครต่อใครในเรื่อง การแต่งตัว ภาษาและคำพูด ไปจนถึงเรื่อง การไม่กินหมาก ฯลฯ เป็นต้น คือพยายามกดดันให้คนไทยในช่วงนั้นเลิกนุ่งผ้านุ่ง หันมานุ่งกางเกง ใส่กระโปรง สวมหมวก ให้เหมือนอย่างฝรั่งเข้าไว้เป็นหลัก ให้หันมาทักทายกันด้วยคำพูดตามช่วงเวลา เช่น อรุณสวัสดิ์ สายันห์สวัสดิ์ ราตรีสวัสดิ์ แบบประเภท Good morning, Good evening, Good night อะไรทำนองนั้น กระทั่งตัวอักษรไทยบางคำ ก็ให้เปลี่ยน ให้ตัดออกซะดื้อๆ ส่วนใครที่ ฟันดำ เพราะกินหมาก ไม่ ฟันขาว เหมือนฝรั่ง ก็ถึงขั้นถูกโค่นต้นหมาก ตัดต้นพลู แทบลงแดงตายกันไปเป็นรายๆ...

คือพูดง่ายๆ ว่า ชาตินิยม ในช่วงนั้น...อาจไม่ได้หวังที่จะให้ผู้คนเกิดความรัก ความซาบซึ้ง ต่อความเป็นชาติมากมายซักเท่าไหร่ แต่ออกจะหนักไปทาง ความทะเยอทะยาน ความต้องการจะให้ชาติตัวเองยิ่งใหญ่ เกรียงไกร ให้เหมือนกับฝรั่งมังค่าที่กำลังเจริญรุ่งเรืองทั้งหลาย หรือหวังให้อะไรต่อมิอะไรออกไปทาง ฝรั่ง นั่นแหละเป็นหลัก จนแม้แต่ความอยากมีประชาธิปไตยของพวก นักประชาธิปไตย ยุคนั้น ก็เพียงเพื่อหวังที่จะให้ประเทศตัวเองก้าวหน้า ทันสมัย เหมือนๆ อย่างพวกฝรั่งนั่นเอง ด้วยเหตุนี้... ชาตินิยม ยุคจอมพล ป. กับ เสรีนิยม ในยุคปัจจุบัน จึงออกจะเป็นอะไรที่คล้ายกัน เหมือนกัน เอามากๆ นั่นคือ...ความปรารถนา ต้องการ ที่จะให้ตัวเอง คล้ายๆ ฝรั่ง ให้มากๆ เข้าไว้ การวนมา-วนไปของสิ่งที่เรียกว่า ประชาธิปไตย เกือบร่วมๆ ศตวรรษของบ้านเรา ก็อาจด้วยเพราะ เหตุปัจจัย อันเนื่องมาจากสิ่งเหล่านี้เอาเลยก็ไม่แน่!!!

แต่สำหรับ พวกเจ้า อย่าง หม่อมเจ้าพูนพิศมัย ดิศกุล แล้ว...ด้วย ความรัก และ ความเข้าใจ ที่มีต่อความเป็นชาติไทย คนไทย มิใช่น้อย ดังที่ท่านได้เขียนเอาไว้ว่า “ข้าพเจ้าได้รับการฝึกหัด training มาว่า 1.ให้รักส่วนรวมหรือชาติเป็นที่หนึ่ง 2.ต้องรักพระราชวงศ์ที่ตัวมีเลือดเนื้อเป็นที่สอง 3.แล้วจึงค่อยรักตัวเองเป็นที่สามได้” โดยบรรดาสิ่งเหล่านี้จะถือเป็นอะไรนิยมก็แล้วแต่ แต่การถูกสอนให้รักชาติ รักกษัตริย์ ส่วนการรักตัวเองนั้น ก็ไม่ใช่รักเพราะความ เห็นแก่ตัว แต่อย่างใด แต่รักตามแบบ ตามแนวทางของ พุทธศาสนา นั่นแหละเป็นสำคัญ ถึงขั้นที่ท่านต้องสละเนื้อที่ให้กับข้อเขียนเรื่อง ศาสนาของข้าพเจ้า ไว้เป็นบทสุดท้าย หรือถ้าสรุปแบบสั้นๆ-ง่ายๆ ก็คือ ความเชื่อมั่น ยึดมั่น ต่อ ชาติ-ศาสนา-พระมหากษัตริย์ นั่นเอง อันนี้นี่แหละ...ที่ทำให้ พวกเจ้า อย่าง หม่อมเจ้าพูนพิศมัย ดิศกุล ต่างไปจาก นักประชาธิปไตย ไม่ว่ายุคจอมพล ป. หรือยุคปัจจุบันที่เรียกขานตัวเองว่า เสรีนิยม อยู่พอสมควรทีเดียว ส่วนอะไรจะก้าวหน้า ก้าวไกล หรือก้าวสะเปะสะปะ คงต้องลองไปใคร่ครวญ หวนคิด เอาเองก็แล้วกัน.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ศิลปาชีพ...ส่งเสริมอาชีพของปวงชน สร้างเศรษฐกิจด้วยคุณค่าแห่งวัฒนธรรม

โครงการศิลปาชีพภายใต้พระราชดำริของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ส่งผลดีอย่างกว้างขวาง

สถานการณ์ 'ผันผวน-คลุมเครือ'

ดูจะเข้าตำรา "ข้าชั่วเอ็งเลว" ศึก "สาวไส้" แวดวงสีกากี ผู้แฉก็เป็น "ตำรวจเก่า" คนถูกแฉก็มีทั้ง "ตำรวจเก่า-ตำรวจปัจจุบัน" หลายคนมองเป็นเรื่องการล้างแค้น

แม้เสด็จสู่สวรรคาลัย น้ำพระทัยสถิตในใจชนจนนิรันดร์

พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงมีโครงการในพระราชดำริมากกว่า 4,000 โครงการ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ

เผด็จการ...โดยธรรม!!!

เห็นข่าวที่ สำนักงานบริหารไซเบอร์สเปซ ของจีน หรือ CAC (Cyberspace Administration of China) เขาออกกฎระเบียบเพื่อควบคุมบรรดาพวกที่เรียกๆ กันว่า อินฟลูเอนเซอร์