
จากเหตุการณ์น้ำมันดิบรั่วไหลกลางทะเลในช่วงปลายเดือน ม.ค.65 ที่ผ่านมา ส่งผลให้เกิดข้อวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากในสังคมไทย และมีหลายฝ่ายพยายามตีแผ่ผลกระทบของชาวบ้านในพื้นที่จังหวัดระยอง ขณะที่สถานการณ์ดังกล่าวด้านบริษัทที่เป็นเจ้าของเรื่องอย่าง บริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ SPRC ก็ออกมาให้ข้อมูลและกล่าวถึงความคืบหน้าในการดูแลอย่างต่อเนื่องเช่นกัน
จึงอยากพาย้อนกลับไปดูถึงต้นเหตุของสถานการณ์และในปัจจุบันที่ใกล้จะถึงบทสรุปของเหตุการณ์ดังกล่าวด้วยว่า สุดท้ายแล้วการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถทำอะไรได้บ้าง เริ่มต้นจากเหตุการณ์ดังกล่าวมีการกระจายข่าวไปในหลายทิศทาง บ้างก็ว่าน้ำมันรั่วเป็นแสนลิตร บ้างก็ว่าคลุมทั้งทะเล แต่สุดท้ายแล้ว SPRC ออกมาให้ข้อมูลว่าปริมาณน้ำมันรั่วโดยประมาณ 39 ตัน หรือเทียบเท่าโดยประมาณ 47,000 ลิตร
โดยบริษัทได้ระดมทีมเพื่อควบคุมสถานการณ์ตามแผนรับมือเหตุฉุกเฉิน อีกทั้งหยุดกิจกรรมในพื้นที่ใกล้เคียงทั้งหมดตามขั้นตอนความปลอดภัย และมีการแจ้งหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ชุมชน ศูนย์เฝ้าระวังและควบคุมสิ่งแวดล้อม ศูนย์บัญชาการตอบโต้สถานการณ์ฉุกเฉินและกระจายข่าว และกลุ่มบริษัทข้างเคียง สามารถควบคุมได้และหยุดการรั่วไหลภายในวันเดียวกัน
ขณะเดียวกันที่ สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้สั่งการให้จัดตั้งอนุกรรมการเพื่อทำหน้าที่สืบค้นปริมาณการรั่วไหลที่แท้จริง หาสาเหตุของปัญหา และหาวิธีการ/มาตรการการแก้ที่ต้นเหตุแห่งปัญหาอย่างยั่งยืน ซึ่งจะประกอบด้วย อาทิ ผู้แทนจังหวัด ผู้แทนกรมเจ้าท่า กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) กรมควบคุมมลพิษ และกระทรวงสาธารณสุข เป็นต้น
โดยทำหน้าที่วิเคราะห์สาเหตุ ตรวจสอบความเหมาะสมของวิธีการและวงรอบในการทำการซ่อมบำรุงระบบต่างๆ ในอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงสูง และพิจารณาออกกฎระเบียบหรือเสนอกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง เมื่อได้ผลสรุปที่เหมาะสม ก็จะนำไปขยายผลรับฟังความคิดเห็นทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง รวมถึงนำไปพิจารณาปรับปรุงกฎระเบียบต่างๆ เพื่อเป็นแนวทางในการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน
ขณะเดียวกันที่ SPRC ได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมเจ้าท่า กรมควบคุมมลพิษ กรมทรัพยากรทางทะลและชายฝั่ง กรมธุรกิจพลังงาน อุตสาหกรรมจังหวัดระยอง วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย สภาวิศวกร สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสถานีตำรวจภูธรมาบตาพุด เริ่มขั้นตอนแรกของปฏิบัติการอุดรอยรั่วของท่ออ่อนใต้ทะเล เพื่อป้องกันการรั่วไหลที่เพิ่มขึ้นจากท่ออ่อนที่เสียหาย และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนโดยรอบ โดยจะมีการนำท่ออ่อนดังกล่าวไปตรวจสอบหาสาเหตุของการเกิดรอยรั่วต่อไป
ทั้งนี้ ปฏิบัติการปิดจุดรั่วไหลของท่ออ่อนใต้ทะเลในครั้งนี้ แบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอนหลัก ได้แก่ การฉีดน้ำยากันรั่วที่วาล์ว การดูดน้ำมันออกจากท่อที่ได้รับความเสียหาย และการพันรอยรั่วทั้ง 2 จุด โดยการปฏิบัติการในครั้งนี้อยู่ภายใต้การควบคุมและตรวจสอบอย่างใกล้ชิดโดยผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ บริษัทผู้ผลิตท่อส่งน้ำมัน รวมถึงหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง
และล่าสุดทางบริษัทเองก็ได้ร่วมกับคณะทำงานที่ดำเนินงานร่วมกันเพื่อพูดคุยกับชุมชนประมงท้องถิ่นในพื้นที่จังหวัดระยอง ที่ลงทะเบียนผ่านศูนย์รับเรื่องร้องเรียนไว้แล้ว เพื่อชี้แจงเบื้องต้นถึงหลักการในการชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ชุมชน ประกอบด้วยสองปัจจัยหลัก ได้แก่ รายได้เฉลี่ยต่อวันและระยะเวลานับตั้งแต่การเกิดเหตุ ซึ่งมาจากการพิจารณาร่วมกันของคณะทำงาน
โดยกลุ่มชุมชนประมงท้องถิ่นจะได้รับการแจ้งวันและเวลาสำหรับการเข้ามารับการชดใช้ค่าเสียหาย ซึ่งจะเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่วันที่ 28 ก.พ.2565 เป็นต้นไป อย่างไรก็ตาม ทาง SPRC และคณะทำงานได้รับข้อเสนอเพิ่มเติมจากกลุ่มประมงท้องถิ่น ซึ่งจะมีการประเมินและพิจารณาร่วมกัน โดยจะมีการประชุมอีกครั้งในวันศุกร์ที่ 25 ก.พ.นี้
ซึ่งถือว่าจากเหตุการณ์ดังกล่าวแม้จะส่งผลกระทบให้กับสิ่งแวดล้อมและชาวบ้านในพื้นที่ แต่การเข้ามาช่วยเหลือหรือดำเนินงานแก้ไขของบริษัทต้นทางและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเองก็เป็นไปได้อย่างรวดเร็ว และถือว่าเป็นบทเรียนให้กับสังคมต่อไป.
ณัฐวัฒน์ หาญกล้า
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
เสริมสร้างธรรมาภิบาลองค์กร
ธรรมาภิบาลที่เข้มแข็งเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างความไว้วางใจและดึงดูดการลงทุน ในช่วงเวลาที่นักลงทุนทั่วโลกให้ความสำคัญกับความยั่งยืนและความโปร่งใสมากขึ้น ท่ามกลางกระแสการตรวจสอบกรณีทุจริตทางธุรกิจที่เกิดขึ้นในหลายประเทศทั่วเอเชีย
ค้าปลีก-ร้านอาหารยังเติบโตในปี69?
เข้าสู่เดือนสุดท้ายของปี 2568 กันแล้ว แน่นอนว่าธุรกิจในปีหน้ายังคงมีโจทย์ท้าทายอีกหลายอย่างกำลังรออยู่ และตลอดปี 2568 นี้เอง ภาคธุรกิจต่างๆ ก็ไม่ง่าย! เพราะต้องเผชิญกับปัจจัยที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นตลอด
เจาะลึกเทรนด์อีคอมเมิร์ซไทย
ปัจจุบันตลาดอีคอมเมิร์ซไทยถูกขับเคลื่อนด้วยการแข่งขันของ 3 แพลตฟอร์มหลัก คือ Shopee 89%, TikTok Shop 71% และ Lazada 66% โดย 87% ของผู้บริโภคชาวไทยซื้อสินค้าออนไลน์เป็นประจำทุกสัปดาห์หรือทุกเดือน
เสริมความมั่นคงสุขภาพไทย
อุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ของไทยกำลังเคลื่อนตัวเข้าสู่จังหวะใหม่ที่น่าสนใจ และสำคัญต่อความมั่นคงด้านสาธารณสุขของประเทศอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อความต้องการเครื่องช่วยหายใจชนิด CPAP/BiPAP
อัปเกรดมาตรฐานความปลอดภัย
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จับมือหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และพันธมิตรด้านอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เปิดตัวความพร้อมโครงการ “Trusted Thailand” อย่างเป็นทางการ
ดาต้าเซ็นเตอร์เพิ่มโอกาสธุรกิจไทย
ในโลกที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญ ธุรกิจที่ต้องการเติบโตอย่างมั่นคงจำเป็นต้องปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นการใช้ระบบดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ การสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า


