23 พ.ย.64 สถาบันวัคซีนแห่งชาติ (สวช.) ร่วมกับองค์การอนามัยโลก จัดเสวนาออนไลน์เปิดข้อมูล (ไม่) ลับ กับสถาบันวัคซีนแห่งชาติ ตอน ร่วมเปิดใจ พร้อมไขทุกข้อสงสัย “วัคซีนโควิด 19 กับก้าวต่อไปของคนไทย” โดยนพ.วีรวัฒน์ มโนสุทธิ รองผู้อำนวยการสถาบัน กลุ่มแผนปฏิบัติการชาติฯ สถาบันบำราศนราดูร กล่าวว่า สถานการณ์โควิด19 ในไทย จากข้อมูลสัดส่วนสายพันธุ์ที่มีการเฝ้าระวัง ตั้งแต่ในวันที่ 6-12 พ.ย.64 พบสายพันธุ์เดลต้าระบาดครอบคลุมในประเทศถึง 99.74% ส่วนสายพันธุ์เบต้าที่หลายคนกังวล ขณะนี้พบการระบาดเฉพาะในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ นราธิวาส ปัตตานี สงขลา ยะลา
“สำหรับวัคซีนจากผลวิจัยเบื้องต้นของทางศิริราชฯ ในการศึกษาความปลอดภัยและการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันในคนไทยของวัคซีนซิโนแวคพบว่าเมื่อฉีด 2 เข็มภูมิคุ้มกันขึ้นสูง แต่ไม่เท่ากับการฉีดแอสตร้าฯ 2 เข็ม ที่ภูมิจะขึ้นสูงกว่า ส่วนผลวิจัยการฉีดสูตรไขว้ ที่ใช้กันจำนวนมากอย่าง ซิโนแวคไขว้แอสตร้าฯ พบว่าภูมิขึ้นสูงกว่าฉีดแอสตร้าฯ 2 เข็ม ขณะเดียวกันการฉีดด้วยแอสตร้าฯไขว้ซิโนแวคภูมิจะขึ้นค่อนข้างน้อย ดังนั้นทางสธ. จึงไม่นำสูตรนี้มาใช้ ส่วนการฉีดแอสตร้าฯไขว้ไฟเซอร์ พบภูมิคุ้มกันขึ้นไปสูงมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ยังพบว่าฉีดซิโนแวคไขว้ไฟเซอร์ภูมิก็ขึ้นใกล้เคียงเช่นกัน ดังนั้นข้อมูลดังกล่าวจึงเป็นแนวทางในการให้วัคซีนในประเทศไทย 4 แนวทางคือซิโนแวคไขว้แอสตร้าฯ, แอสตร้าฯไขว้ไฟเซอร์, แอสตร้าฯ 2 เข็ม และไฟเซอร์ 2 เข็ม” นพ.วีรวัฒน์ กล่าว
นพ.วีรวัฒน์ กล่าวอีกว่า เมื่อดูจากข้อมูลวันที่ 1 เม.ย.-4พ.ย. 64 ในจำนวนผู้เสียชีวิตประมาณ 19,413 คน พบว่าผู้เสียชีวิตจากโควิด19 อยู่ที่ช่วงอายุประมาณ 67 ปี หรือในกลุ่มผู้สูงอายุ ซึ่ง 16% ไม่ได้รับวัคซีน ส่วนกลุ่มที่มีโรคประจำตัวพบเสียชีวิตประมาณ 16,795 คน อาทิ โรคความดัน โรคหัวใจ เป็นต้น พบไม่ได้รับวัคซีนถึง 79% ไม่มีโรคประจำตัว 1,627 คน อีกกลุ่มคือหญิงตั้งครรภ์ที่มีจำนวนผู้เสียชีวิตถึง 68 คน พบไม่ได้รับวัคซีน 1.6% ได้รับเพียง 3.2% ซึ่ง 3 กลุ่มเสี่ยงดังกล่าวจึงมีความจำเป็นในการฉีดวัคซีน
อย่างไรก็ตาม มีคนไทยที่ยังไม่ได้รับวัคซีนอีกกว่า 10 ล้านคน โดยได้รับวัคซีนทั้งหมดอยู่ที่ 80.4 ล้านโดส ส่วนที่ได้รับวัคซีนเข็มที่1 พบว่าในจังหวัดภูเก็ต กรุงเทพฯ สมุทรปราการ ครอบคลุมกว่า 80% รองลงมาคือ นครราชสีมา บุรีรัมย์ ครอบคลุมกว่า 70% ส่วนเข็มที่ 2 ภาพรวมทั้งประเทศอยู่ที่ 58.32% มีเพียงจังหวัดภูเก็ตและกรุงเทพฯ ที่ได้รับวัคซีนครอบคลุมกว่า 80% ขณะที่เข็มที่ 3 ภาพรวมทั้งประเทศได้รับวัคซีนอยู่ที่ 4.5% ดังนั้นแผนการฉีดวัคซีนในเดือนธ.ค.64 สำหรับเป้าหมายใหม่คือ ประชากรต้องได้รับวัคซีนเข็มที่ 1 ในเดือนพ.ย. อย่างน้อย 70% และเดือนธ.ค. อย่างน้อย 80% ส่วนเข็มที่ 2 ในเดือนธ.ค. ต้องฉีดให้ได้อย่างน้อย 70%
หลายคนที่ยังไม่ได้รับวัคซีน อาจจะกังวลเรื่องผลข้างเคียงหรืออาการไม่พึงประสงค์ นพ.วีรวัฒน์ กล่าวว่า วัคซีนซิโนแวคที่มีการฉีดไปกว่า 25 ล้านโดส สัดส่วนการฉีด 7.47 ต่อแสนโดส พบแพ้รุนแรง 37 คน เช่น มีผื่น ภาวะช็อค เป็นต้น เสียชีวิต 1 คน ส่วนวัคซีนแอสตร้าฯ มีอัตราการฉีดอยู่ที่ 35 ล้านโดส พบสัดส่วนแพ้ 6.60 ต่อแสนโดส แพ้รุนแรง 11 คน มีภาวะ VITT 4 คน ในจำนวนนี้เสียชีวิต 2 คน วัคซีนซิโนฟาร์ม มีการฉีดไปกว่า 12.9 ล้านโดส จากสัดส่วนการฉีด 3.43 ต่อแสนโดส พบแพ้รุนแรงเพียง 1 คน ไม่มีผู้เสียชีวิต และไฟเซอร์ ที่ฉีดไปกว่า 7.19 ล้านโดส โดยสัดส่วน 4.63 ต่อแสนโดส พบแพ้รุนแรง 1 คน มีภาวะ Probable Myocarditis/Pericarditis 8 คน ไม่มีผู้เสียชีวิต จึงสรุปได้ว่าจากการได้รับรายงานผู้เสียชีวิตหลังได้รับวัคซีนจำนวน 1,436 คน พบเสียชีวิตจากการฉีดวัคซีนเพียง 4 คน ดังนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่กลุ่มเสี่ยง 608 ควรเข้ารับวัคซีนเพื่อลดอัตราการเสียชีวิตและความรุนแรงของโรคโควิด19
ด้านศ.พญ.ธันยวีร์ ภูธนกิจ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงภูมิคุ้มกันหลังได้รับวัคซีน กล่าวว่า การได้รับวัคซีนโควิด19 หรือเคยป่วยโควิด19 จะทำให้มีภูมิคุ้มกันขึ้นมา แต่เมื่อระยะเวลาผ่านไปภูมิคุ้มกันก็จะลดลง อย่างในประเทศที่ประชากรได้รับวัคซีนครอบคลุมกว่าไทย ก็ยังพบการติดเชื้อซ้ำ เนื่องจากปัจจัยเช่น เชื้อกลายพันธุ์ ภูมิลดลง และยกเลิกการใส่หน้ากากอนามัย หรือผ่อนคลายมาตรการต่างๆลง
ศ.พญ.ธันยวีร์ กล่าวว่า ในการศึกษาประเทศอิสราเอล สำหรับระดับภูมิคุ้มกันในช่วง 6 เดือนหลังจากได้รับวัคซีนไฟเซอร์ พบว่าในผู้สูงอายุภูมิจะลดระดับลงไวกว่าในวัยอื่น จึงแนะนำให้มีการเข้ารับเข็มกระตุ้นใน 3-6 เดือนหลังได้รับวัคซีนครบ 2 เข็ม หรือปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับเข็มกระตุ้น สอดคล้องกับงานวิจัยจุฬาฯ ระบุว่า การฉีดวัคซีนสูตรซิโนแวค 2 เข็ม พบว่าเมื่อฉีดครบโดสหลัง 1 เดือนภูมิขึ้นดีในระดับหนึ่ง เกินเกณฑ์ 60% แต่เมื่อเป็นวัคซีนเชื้อตายควรได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้น เช่น แอสร้าฯ หรือ mRNA ส่วนสูตรแอสตร้าฯ 2 เข็ม พบว่าใน 3 เดือนภูมิเริ่มลดลง ประกอบกับการแพร่กระจายของเชื้อเดลต้า จึงมีการปรับให้มีการฉีดสูตรไขว้แทน อาทิ แอสตร้าฯไขว้ไฟเซอร์ เป็นต้น และการให้วัคซีนในหญิงตั้งครรภ์ เพราะสามารถเกิดภาวะฉุกเฉินได้ทุกเมื่อ หากติดเชื้อโควิด19 การรักษาก็จะซับซ้อนกว่าคนปกติ ดังนั้นเมื่อได้รับวัคซีนภูมิคุ้มกันก็จะถูกส่งต่อไปยังทารกในครรภ์โดยเฉพาะในช่วง 3 เดือนแรก
ศ.พญ.ธันยวีร์ กล่าวเสริมว่า สายพันธุ์ที่มีการระบาดในไทยมีผลต่อระดับภูมิคุ้มกัน เพราะเมื่อสายพันธุ์เปลี่ยนความสามารถในการยับยั้งเชื้อก็จะลดลง อย่าง สายพันธุ์เดลต้าลดลง 2-3 เท่า สายพันธุ์เบต้าลดลงไปถึง 6 เท่า นับว่ายังเป็นโชคดีที่การระบาดส่วนใหญ่ คือ สายพันธุ์เดลต้า และสายพันธุ์เบต้ามีคุณลักษณะในการแพร่กระจายเชื้อได้น้อย อีกข้อมูลที่น่าสนใจคือ งานวิจัยของวัคซีนโมเดอร์นาที่ฉีดครบ 2 โดสในขนาด 100 ไมโครกรัม พบว่าจะกระตุ้นภูมิคุ้มกัน 50 ไมโครกรัม ได้ดีในสายพันธุ์ดั้งเดิม และในอเมริกามีการแนะนำว่าหากฉีดโมเดอร์นาครบ 2 โดส ควรให้เข็มที่ 3 เพียงครึ่งโดส ก็สามารถกระตุ้นภูมิได้ดีในเชื้อกลายพันธุ์ ซึ่งขณะนี้ไทยกำลังทำวิจัยการฉีดเข็มกระตุ้นที่ 3 ที่ 4 ในขนาดที่ลดลง ทั้งนี้การฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 ในไทยจะเป็นสูตรไขว้ ไม่ว่าจะเป็นแอสตร้า หรือ mRNA สามารถฉีดได้ จึงไม่จำเป็นต้องรอวัคซีนสำหรับเชื้อกลายพันธุ์ที่จะเกิดขึ้น เพราะโควิดคงจะอยู่กับเราไปอีกอย่างน้อย 1 ปี
“คำแนะนำในอเมริกาเมื่อเดือนต.ค.64 ที่ผ่านมา ระบุว่าประชาชนสามารถรับวัคซีนเข็มบูสเตอร์หรือฉีดสูตรไขว้ได้ โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุเกิน 65 ปี หรืออายุ 18 ปีขึ้นไปที่เสี่ยงหรือมีโรคประจำตัว สำหรับกลุ่มอื่นๆ แพทย์สามารถพิจารณาให้วัคซีนเข็มบูสเตอร์ได้ โดยพิจารณาหลังจากได้รับเข็มสุดท้ายไปแล้ว 6 เดือน ดังนั้นการฉีดวัคซีนโควิด อาจจะใกล้เคียงกับการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ที่มีการฉีดในทุกปี และเมื่อมีการระบาดโควิด ในต่างประเทศก็มีการณรงค์ให้ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ซึ่งสามารถฉีดวัคซีนโควิดในวันเดียวกันได้ ซึ่งทางโมเดอร์นาและโนวาแวกซ์ก็เริ่มทำการศึกษาวิจัยทางคลินิกในการรวมวัคซีนไข้หวัดใหญ่และโควิดในเข็มเดียวกัน” ศ.พญ.ธันยวีร์ กล่าว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'หมอโอ๋' มองดราม่าอัญเชิญพระเกี้ยว อย่าเห็นคนรุ่นใหม่เป็นศัตรู ขอให้รู้ผู้ใหญ่จะตายก่อน
พญ.จิราภรณ์ อรุณากูร หรือ หมอโอ๋ เจ้าของเพจ "เลี้ยงลูกนอกบ้าน" ได้โพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊กว่าด้วยเรื่องอัญเชิญพระเกี้ยว
'นันทิวัฒน์' จี้จุฬาฯ ตั้งกรรมการสอบ วิทยานิพนธ์ฉาว
นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์เฟซบุ๊ก Nantiwat Samart เรื่อง วิทยานิพนธ์ฉาว โดยระบุราย
'ดร.นิว' ถามอธิการบดี จะเลือกรักษาเกียรติภูมิของจุฬาฯ หรือ วิทยานิพนธ์ชี้นำความคิดล้มล้างฯ
จากกรณีศาลอาญายกฟ้อง อ.ไชยันต์ ไชยพร คดีหมิ่นประมาท นายณัฐพล ใจจริง ผู้เขียนหนังสือ "ขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ" และ "ขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี"