หน้าตาการเมืองไทยสำคัญที่สุดอยู่ที่ “ผลการเลือก” ของแต่ละพรรคการเมือง จากนั้นจะต้องว่ากันที่ “เกมจัดตั้งรัฐบาล” ซึ่งสำคัญกว่า ต้องจับตาว่าจะมีใครปาดหน้าพรรคที่มีคะแนนเป็นอันดับ 1 อีกหรือไม่ และอีกประการต้องติดตามคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะแขวนไม่ประกาศรับรองกี่เขต หรือจะมีประกาศยุบพรรคการเมืองบ้างหรือไม่ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ทำให้การเมืองปั่นป่วนได้ แม้การเลือกตั้งจะผ่านพ้นไปแล้วก็ตาม
โฟกัส “5 วัน” สุดท้ายก่อนวันตัดสิน อาทิตย์ที่ 14 พ.ค.นี้ ผลโพลสำรวจคะแนนนิยมของประชาชนพอเป็นกรอบกว้างๆ ให้เห็นว่าขณะนี้ฝ่ายก้าวหน้า ทั้งเพื่อไทย และก้าวไกล นำห่างฝ่ายอนุรักษนิยมพอสมควร แต่ต้องละไว้ในฐานที่เข้าใจว่า โพลคือการออกไปเก็บข้อมูลแบบสุ่มตัวอย่างเพียงไม่กี่พัน กี่หมื่นความเห็นของประชาชนเท่านั้น
ทว่า พรรคเพื่อไทยและก้าวไกลต่างมั่นอกมั่นใจจนขณะนี้กล้าเปิดเผยแล้วว่าเงื่อนไขการเป็นรัฐบาลของตัวเองมีอะไรบ้าง สำหรับ “อิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร แคนดิเดตเพื่อไทย ระบุว่า พรรคที่มาร่วมกันนั้นต้องมีนโยบายตรงกัน นายกรัฐมนตรีมาจากพรรคเพื่อไทย และรัฐมนตรีกระทรวงสำคัญต้องมาจากพรรคเพื่อไทย
ขณะที่ก้าวไกล “ชัยธวัช ตุลาธน” เลขาธิการพรรค เปิดเผยว่า ข้อตกลงร่วมกันในการจัดตั้งรัฐบาลขึ้นอยู่กับจำนวน ส.ส.ของพรรค ทั้งการลงประชามติถามประชาชนว่าต้องการจะทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดย ส.ส.ร.ที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงหรือไม่ จะปฏิรูปกองทัพโดยเริ่มต้นจากการยกเลิกการบังคับเกณฑ์ทหาร สุราก้าวหน้า และสมรสเท่าเทียม ยกเลิกประกาศคำสั่ง คสช.ที่ไปลดอำนาจของท้องถิ่น แก้กฎหมายเพิ่มส่วนแบ่งของภาษีสำคัญให้กับท้องถิ่น และจัดทำประชามติถามประชาชนว่าเห็นด้วยหรือไม่กับการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ
ทั้งหมดที่ว่ามาเป็นความเคลื่อนไหวของ 2 ม้าตัวเต็งในการเลือกตั้งปี 66
ส่วนกลุ่มอนุรักษนิยมแต้มยังเป็นรองทุกประตู โดยในฝ่ายเดียวกันนั้น “พรรครวมไทยสร้างชาติ” ดูเป็นความหวังมากที่สุด ด้วยจุดยืนของ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ชัดเจนไม่เอาระบอบทักษิณ จึงทำให้ได้รับความนิยมขึ้นมาแทนที่ “ประชาธิปัตย์” ที่แต่ก่อนยืนซดกับระบอบดังกล่าวอยู่พรรคเดียว
บัดนี้ภายใต้การนำในยุค “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์” ออกแนวสงบปากสงบคำ อ้างมารยาททางการเมือง “ไม่ขอวิจารณ์” จึงทำให้ระยะหลังความนิยม “พรรค” รวมถึง “ตัวหัวหน้า” ไม่มีกระแสเป็นที่พูดถึงเหมือนเดิม ซึ่งแตกต่างจาก พล.อ.ประยุทธ์เป็นอย่างมาก ส่งผลให้การหาเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ยุคนี้เหนื่อยยากแสนเข็ญเป็นพิเศษ
โดยเฉพาะพื้นที่ภาคใต้โดน “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์เจาะพรุน เผลอๆ พี่น้องปักษ์ใต้จะกาให้ “รวมไทยสร้างชาติ” ทั้ง 2 ใบแบบไม่สนตัวผู้สมัครจะหน้าเก่า หน้าใหม่ มีผลงานหรือไม่มีผลงาน เพราะอย่างน้อยก็อุ่นใจ “พล.อ.ประยุทธ์” เอาอยู่!!
ยิ่งตอนนี้ “โทนี่” ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ประกาศเป็นมั่นเหมาะ “ไม่ต้องกังวลว่าผมจะเป็นภาระพรรคเพื่อไทย ผมจะเข้าสู่กระบวนการกฎหมาย และวันที่ผมกลับยังเป็นช่วงรัฐบาลรักษาการของ พล.อ.ประยุทธ์อยู่ ทั้งหมดคือการตัดสินใจของผมเองด้วยความรักผูกพันกับครอบครัว/แผ่นดินเกิดและเจ้านายของเรา”
รุ่นเก๋าคนใต้หลายคนไม่ปลื้ม “ทักษิณ” เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เจอแบบนี้เข้าไปมีสะพรึง คิดเอาเองแล้วกันเขาจะฝากผีฝากไข้กับใคร? ระหว่าง “พล.อ.ประยุทธ์” กับ “นายจุรินทร์”
สำหรับพื้นที่กรุงเทพมหานคร แม้กระแสประชาธิปัตย์ไม่มี แต่เชื่อว่าจะไม่มีอะไรแย่กว่าการเลือกตั้งคราวที่แล้วที่สูญพันธุ์ไม่ได้แม้แต่เก้าอี้เดียว อย่างน้อยที่สุดมีการประเมินกันว่าน่าจะได้ ส.ส.จาก 3 เขตเลือกตั้งด้วยความสามารถของตัวบุคคลในพื้นที่ล้วนๆ ไม่เกี่ยวกับกระแสพรรค เพราะอย่างไรเสียเรื่องกระแสนิยมนั้นสู้เพื่อไทยและก้าวไกลไม่ได้เลย
เรียกว่า “ประชาธิปัตย์” หืดขึ้นคอ นาทีนี้ป้องกันแชมป์ยังร้อนๆ หนาวๆ ความหวังที่ว่าจะได้ที่นั่งเพิ่มคงต้องอาศัยความสามัคคีและผนึกกำลังอย่างเหนียวแน่น เพราะต้องสู้ทั้งกับกระแส กระสุนที่จะอัดแน่นๆ ช่วงโค้งสุดท้าย
การปรับยุทธศาสตร์ใน 5 วันอันตราย เพียงแค่มีภาพ “หัวหน้าจุรินทร์” ทำหน้าพริ้มอบอุ่นหัวใจที่ได้อยู่ในอ้อมกอดของ “พล.อ.ประยุทธ์”, การตอกย้ำจุดยืน “4 ทำ 3 ไม่”, การขอให้ชาวบ้านเชื่อมั่นประชาธิปัตย์พาชาติรอด หรือแม้แต่การยืนยันเลือกประชาธิปัตย์ บัตรสวัสดิการแห่งรัฐยังคงอยู่แน่นอนนั้น ขณะเดียวกันปล่อยให้ลูกหม้อของพรรคคอยอัด “พล.อ.ประยุทธ์” อยู่ข้างหลัง คงยังไม่เพียงพอที่จะทำให้พรรคกลับมารุ่งเรืองเหมือนตอนได้ ส.ส.เป็นร้อยๆ คน
หลังทราบผลการเลือกตั้ง 14 พ.ค. ช็อตต่อไปสำหรับประชาธิปัตย์คือ เลือกหัวหน้าพรรครอบใหม่ เนื่องจาก “จุรินทร์” ครบวาระ 4 ปี คงต้องจับตาไปที่ตัวหัวหน้าและทีมกรรมการบริหารพรรค ยังจะเป็นชุดเดิมหรือจะปรับเปลี่ยนอย่างไร.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
จิรุตม์-มณฑลลุ้นผงาดกกต. สีน้ำเงินคุมเสียงข้างมาก7เสือ
เมื่อมีความชัดเจนทางการเมืองว่า “พรรคเพื่อไทย” จะยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ หลังการโหวตร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญวาระ 3 ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า 2569
'ภัยพิบัติการเมือง เมื่อกฎบริจาค กลายเป็นสนามแข่งพรรคใหญ่'
ในช่วงปลายปี 2568 ซึ่งประเทศไทยกำลังเผชิญกับสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างน้ำท่วมในหลายพื้นที่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ออกมาชี้แจงแนวทางการบริจาคเงินและสิ่งของเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย
พลิกเกม"น้ำท่วม"สู้ศึกเลือกตั้ง สมรภูมิการเมืองช่วงชิงชัยชนะ
แรงกดดันของสังคมที่มีต่อ "อนุทิน ชาญวีรกูล" นายกรัฐมนตรี หลังเหตุการณ์มหาอุทกภัยที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา พุ่งเป้าไปที่ความผิดพลาด บกพร่อง และล่าช้า ในการสั่งการเข้าช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจนทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก
วิกฤตน้ำท่วมทำรัฐบาลรวน อาจป่วนถึงการแก้รัฐธรรมนูญ
วิกฤตในการบริหารสถานการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ของภาคใต้ โดยเฉพาะที่หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา นอกจากความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนจำนวนมหาศาลแล้ว ยิ่งทำให้รัฐบาลสูญเสียความน่าเชื่อถือในสายตาสาธารณชน
รัฐบาลอ่อนหัด โครงสร้างล้าหลัง ฉุดเชื่อมั่น'อนุทิน-ภท.'จมดิ่งกับน้ำท่วม
วิกฤตมหาอุทกภัยถล่ม อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ศูนย์กลางเศรษฐกิจภาคใต้ สร้างความหายนะราวกับคลื่นสึนามิ ซากปรักหักพังของเมืองเสมือนวันสิ้นโลก
ปี69เดือด!เลือกตั้งทุกระดับ 'กกต.-ประชาชน'ตัดสินอนาคต
ปี 2569 กลายเป็นปีที่ท้าทายที่สุดสำหรับประชาธิปไตยไทย ด้วยการเลือกตั้งหลายระดับที่กระชั้นชิดกันอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ที่คาดว่าจะพ่วงด้วยการลงประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ และบันทึกความเข้าใจ (MOU)


