นับตั้งแต่วันที่ 23 สิงหาคม 2566 ที่มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง นายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ขณะนี้ผ่านมาแล้ว 55 วัน
จึงจะพาย้อนกลับไปดูคำให้สัมภาษณ์ทั้งก่อนและหลังเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของนายเศรษฐา ที่เปรียบเสมือนคอนเซ็ปต์การทำงานประจำตัวกันอีกครั้ง รวมถึงสิ่งที่เกิดขึ้นภายหลังประเทศไทยที่มีนายกรัฐมนตรีคนใหม่มาเกือบร่วม 2 เดือน
เริ่มตั้งแต่วิธีการทำงานของนายกรัฐมนตรีในแบบ ‘เศรษฐา’ ที่เคยให้สัมภาษณ์ระหว่างการทำศึกเลือกตั้ง เมื่อช่วงต้นเดือนมีนาคม 2566 ในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยว่า ผู้นำจะต้องทำงานแบบไม่มีวันหยุด คือ 7 วัน 24 ชั่วโมง
“เมื่อเป็นนายกรัฐมนตรีต้องเสียสละมาก มันคือ 7 วัน 24 ชั่วโมง เราต้องทำหลายอย่าง ผมติดสุข ผมยอมรับ แต่ถ้าเกิดจะตัดสินใจทำงานแล้วก็ต้องทำให้ได้ เพราะมันก็ต้องเสียสละ”
หรือการพาประเทศไทยไปโดดเด่นในเวทีโลกอีกครั้ง ซึ่งนายเศรษฐาได้ให้สัมภาษณ์ในวาระเดียวกันไว้ว่า หลายปีที่ผ่านมาไทยไม่มีจุดยืนในเวทีโลกเลย
“6-8 ปีที่ผ่านมาผู้นำของเราไม่ได้นำประเทศไทยไปมีจุดยืนในเวทีโลกเลย ผู้นำคนต่อไปผมว่าต้องกล้าที่จะเดินออกไปสู่เวทีโลก”
หรือตอนรับตำแหน่งแล้ว นายเศรษฐาได้แถลงปิดท้าย ภายหลังเข้ารับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ เป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2566 เสร็จสิ้น ซึ่งมีประโยคหนึ่งที่กลายมาเป็นภาพลักษณ์ติดตัวมาจนทุกวันนี้คือ จะทำหน้าที่อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
“ผม นายเศรษฐา ทวีสิน จะขอทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีที่ไม่รู้จักคำว่าเหน็ดเหนื่อย เป็นรัฐบาลที่จะทุ่มเท ทำงานหนัก รับฟังเสียงของประชาชน นำความสามัคคีกลับคืนสู่คนในชาติ นำพาประเทศไทยไปข้างหน้า และสร้างอนาคตที่ดีกว่าให้กับลูกหลานของพวกเราทุกคน นับจากวันนี้เป็นต้นไป”
สำหรับเรื่องการทำงาน 7 วัน 24 ชั่วโมงนั้น ไม่ผิดจากความเป็นจริงมากนัก เพราะตลอดช่วงเกือบ 2 เดือนที่ผ่านมา นายเศรษฐามีภารกิจแทบทุกวัน ไม่เว้นแม้แต่เสาร์-อาทิตย์
ขณะที่ในแต่ละวัน ภารกิจของนายกรัฐมนตรี นอกจากที่มีกำหนดการไว้ล่วงหน้าอย่างเป็นทางการแล้ว ยังมีภารกิจแทรกเกิดขึ้นระหว่างนั้นบ่อยครั้ง
วันๆ หนึ่งภารกิจของนายเศรษฐามีปริมาณที่มาก แทบจะไม่อยู่ติดตึกไทยคู่ฟ้าและทำเนียบรัฐบาล ซึ่งส่วนหนึ่งที่มาก เพราะแต่ละภารกิจใช้เวลาอย่างกระชับและรวดเร็ว
ไม่ต่างจากช่วงเสาร์-อาทิตย์ ที่ในอดีตผู้นำคนอื่นมักจะใช้เวลาพักผ่อน หรือมอนิเตอร์ที่บ้าน แต่นายเศรษฐาจะต้องมีอย่างน้อยๆ 1 ภารกิจที่มีทั้งกำหนดล่วงหน้าและไม่ได้กำหนดล่วงหน้าโผล่ขึ้นมา เพื่อให้เห็นว่าทำงานทุกวัน
ส่วนเรื่องบทบาทบนเวทีโลก นายเศรษฐาน่าจะเป็นผู้นำของไทยที่เดินทางไปปฏิบัติภารกิจต่างประเทศบ่อยมากคนหนึ่ง คล้ายกับยุครัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ใช้เวลาแค่ 2 ปี เดินทางไปต่างประเทศมากถึง 42 ครั้ง โดยเป็นการเดินทางเยือนประเทศในกลุ่มอาเซียน 9 ประเทศ เยือนอย่างเป็นทางการ 26 ประเทศ และเข้าร่วมการประชุมระดับผู้นำอีก 19 ประเทศ
ขณะที่นายเศรษฐาใช้เวลาเดือนกว่าๆ ไปมาแล้ว 4 ครั้ง ครั้งแรก 19 กันยายน ไปประชุมสมัชชาสหประชาชาติที่สหรัฐอเมริกา ครั้งที่ 2 ไปเยือนกัมพูชาอย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นประเทศแรกในอาเซียน เมื่อวันที่ 28 กันยายน ครั้งที่ 3 ไปเยือนเขตบริหารพิเศษฮ่องกง สาธารณรัฐประชาชนจีน บรูไนดารุสซาลาม มาเลเซีย และสาธารณรัฐสิงคโปร์อย่างเป็นทางการ ระหว่าง 8-12 ตุลาคม และล่าสุดคือ ไปประชุมเวทีข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง (Belt and Road Forum for International Cooperation : BRF) ครั้งที่ 3 ที่จีน และไปเยือนซาอุดีอาระเบีย ระหว่างวันที่ 16-21 ตุลาคม
แต่ท่ามกลางภารกิจที่หนาแน่นทั้งในและนอกประเทศ หลายคนกำลังเฝ้าจับตาว่า ‘ปริมาณ’ ที่มากมันสอดคล้องกับ ‘ผลสัมฤทธิ์’ ที่ออกมาหรือไม่
เพราะสุดท้ายแล้วประชาชนย่อมคาดหวังเรื่อง ‘ผลสัมฤทธิ์’ มากกว่า ‘ปริมาณ’
อีกสิ่งที่ต้องประเมินคือ เมื่อนายเศรษฐาทำงานแบบ 7 วัน 24 ชั่วโมงแล้ว ‘กระแส’ ในตัวของเขาเพิ่มขึ้นหรือไม่ เพราะต้องยอมรับว่า สิ่งที่นำพาเขามาอยู่ในจุดนี้ได้คือ กระแสของพรรคเพื่อไทย ไม่ใช่กระแสส่วนตัวของนายเศรษฐา
นอกเหนือจากภารกิจแล้ว ผลงานที่เริ่มสตาร์ทในนามรัฐบาลอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2566 ก็ถูกจับจ้องบนความคาดหวังที่สูงว่า จะเห็นความเปลี่ยนแปลงและแตกต่างจากรัฐบาลชุดเก่า
ยิ่งเรื่องเศรษฐกิจปากท้องที่พรรคเพื่อไทยยกว่าตัวเองเป็น ‘เต้ย’ ในด้านนี้ ยิ่งทำให้ความคาดหวังจากประชาชนมีสูง ซึ่งพรรคเพื่อไทยเองก็รู้ดีว่า ต้องรีบผลิตออกมาให้ประชาชนสัมผัสได้โดยเร็ว
จึงไม่แปลกที่รัฐบาลพยายามจะรีบหยิบและคว้าบางเรื่องที่อยู่ในชีวิตประจำวันของประชาชน ซึ่งสามารถทำได้เลย ผลิตออกมาอย่างรวดเร็ว เพื่อให้เห็นถึงความต่าง ไม่ว่าจะเป็นค่าน้ำมัน ค่าไฟฟ้า ตลอดจนค่าโดยสาร 20 บาทตลอดสาย ในส่วนของรถไฟฟ้าสายสีแดงและสายสีม่วง
ต้องการทำให้รู้ว่า สิ่งที่หาเสียงไว้สามารถทำได้จริงในยุค ‘เพื่อไทย’ เป็นแกนนำรัฐบาล
เพียงแต่มันยังสร้างความเปลี่ยนแปลงในลักษณะที่คนยังไม่พูดถึงมากนัก จะเห็นว่า ระหว่างลงพื้นที่ จ.สุโขทัย นายเศรษฐายังถามกับประชาชนเลยว่า รู้หรือไม่ว่ารัฐบาลได้ช่วยเรื่องค่าไฟฟ้า ค่าน้ำมันไปแล้ว
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เรื่องที่จะมีอิมแพ็กจริงๆ จนถูกพูดถึง คงน่าจะเป็นเรื่องดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท นโยบายพระเอกของพรรคเพื่อไทย ซึ่งยังไม่เกิดขึ้น แต่กำลังจะเกิดขึ้น ท่ามกลางการจับตาจากหลายภาคส่วน
เพราะนโยบายนี้จะเป็นเหมือนนโยบายที่วัดฝีมือของพรรคเพื่อไทยอย่างแท้จริงว่า เป็น ‘มืออาชีพ’ หรือแค่เก่งแต่แจก เพื่อคะแนนความนิยมอย่างที่บางฝ่ายค่อนแคะกัน.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
‘บิ๊กป้อม’ ถอย ดัน ‘ตรีนุช’ เลือกตั้งสุดท้ายของ ‘พปชร.’
‘บิ๊กป้อม’ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ประกาศถอนตัวจากการเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค ทั้งที่อีกไม่กี่ชั่วโมงจะถึงวันรับสมัคร สส.แบบแบ่งเขต และบัญชีรายชื่อ ตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กำหนดในวันที่ 27-28 ธันวาคมนี้
คิกออฟเลือกตั้ง69เช็กความพร้อมกกต. เปิดคู่มือผู้สมัครสส.ก่อนออกหาเสียง
ประเทศไทยกำลังเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ครั้งใหม่ หลังจากพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2568 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 12 ธ.ค.2568
‘เท้ง’พลาดซ้ำ รีบผลัก‘ภท.’ พา‘พรรคส้ม'ผูกมัดตัวเอง
ไม่ว่าจะคิดมาดีแล้ว หรือไม่ทันระวัง การรีบประกาศว่า หากพรรคภูมิใจไทยเป็นรัฐบาล พรรคประชาชนจะไปเป็นฝ่ายค้านของ ‘เท้ง’ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ถือเป็นเรื่องที่นักเลือกตั้งซึ่งมีประสบการณ์ทางการเมืองสูงไม่เลือกจะทำ
ท็อปไฟว์5ข่าวดังการเมืองไทย68 ยุบสภาฯไคลแมกซ์ปิดท้ายปี
นับถอยหลังเหลือเวลาอีกแค่สัปดาห์เศษก็จะสิ้นปี 2568 เข้าสู่ปีใหม่ 2569 ที่เป็นปีมะเมีย ซึ่งตำราโหราศาสตร์บางสำนักบอกว่า จะเป็นปีม้าธาตุไฟ โดยการเมืองไทยปี 2569 เรื่องสำคัญที่สุดก็คือ การเลือกตั้ง สส.ในวันอาทิตย์ที่ 8 ก.พ.2569 ที่จะนำมาสู่การจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง
สนามเลือกตั้งเมืองหลวง-กทม. ศึกชิง33เก้าอี้-แย่งเสียงปาร์ตี้ลิสต์ พรรคส้มเหงื่อตก หลายพรรครอเจาะยาง
หนึ่งในสาเหตุทางการเมืองที่คนยังเชื่อว่า พรรคส้ม-พรรคประชาชน จะชนะการเลือกตั้งในวันที่ 8 ก.พ.2569 ก็เพราะมองว่า สนามเลือกตั้งเมืองหลวง กรุงเทพมหานคร ที่มี
แนวรบสุดท้ายสู้สแกมเมอร์ ปัจจัยที่ต้องปิดจ๊อบชายแดน
แม้สถานการณ์สู้รบตามแนวชายแดน "ไทย-กัมพูชา" ในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนอีสานใต้ ฝ่ายไทยจะสามารถยึดเป้าหมายในหลายพื้นที่ และ มีแนวโน้มที่ดีใน 13 แนวรบ แต่ก็ยังประมาทไม่ได้ เพราะดูเหมือนว่า "กัมพูชา"

