จ้องแก้ ‘พ.ร.บ.ประชามติ’ ผวา ‘แท้ง’ ก่อนได้รื้อรธน.

วันศุกร์ที่ 24 พฤศจิกายนนี้ คณะกรรมการเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางในการทำประชามติเพื่อแก้ไขปัญหาความเห็นที่แตกต่างเรื่องรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 ที่มี นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ เป็นประธาน จะประชุมกัน

มีประเด็นสำคัญที่ต้องติดตามคือ เรื่องการแก้ไข พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ.2564 ที่คณะอนุกรรมการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับแนวทางในการทำประชามติเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2560 ที่มี นายนิกร จำนง เป็นประธาน ไปรับฟังมาจากหลายภาคส่วน และเห็นว่าเป็นอุปสรรคต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

เพราะนอกจากความไม่ชัดเจนว่า จะต้องทำประชามติกี่ครั้งแล้ว ยังมีเรื่องเกณฑ์การทำประชามติยังอยู่ในระดับที่นักการเมืองมองว่า ‘หิน’ มาก หรือแทบจะไม่มีโอกาส ‘ผ่าน’ ได้เลย

โดย พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ.2564 ในมาตรา 13 บัญญัติเอาไว้ว่า “การออกเสียงที่จะถือว่ามีข้อยุติในเรื่องที่จัดทำประชามติ ต้องมีผู้มาใช้สิทธิ์ออกเสียงเป็นจำนวนเกินกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิ์ออกเสียง และมีจำนวนเสียงเกินกึ่งหนึ่งของผู้มาใช้สิทธิ์ออกเสียงในเรื่องที่จัดทำประชามตินั้น”

มาตรานี้บัญญัติเอาไว้ 2 ขยัก ขยักแรกคือ จะต้องมีผู้มาใช้สิทธิ์ออกเสียงเป็นจำนวนเกินกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิ์ออกเสียง ซึ่งหมายความว่า หากมีผู้มาใช้สิทธิ์ออกเสียงไม่เกินกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิ์ออกเสียง มันจะล่มทันที

หรือหากผ่านขยักแรกไปได้ ต้องมาดูขยักที่สองคือ ได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งของผู้ที่ออกมาใช้สิทธิ์ออกเสียงหรือไม่ ซึ่งหากไม่ถึงก็ล่มเหมือนกัน 

ซึ่งการทำประชามติแตกต่างจากการเลือกตั้ง โดยเฉพาะเรื่อง ‘แรงจูงใจ’ ของประชาชน และการมาเจอเกณฑ์ระดับที่ยาก ย่อมสุ่มเสี่ยงจะสูญเสียงบประมาณไปเปล่าๆ

ยิ่งหากมีการรณรงค์ให้นอนอยู่บ้าน ไม่ต้องออกไปใช้สิทธิ์เพื่อต้องการคว่ำประชามติ มันยิ่งเสี่ยงยิ่งกว่าเดิมขึ้นไปอีก

เหตุนี้มันจึงทำให้มีแนวคิดเรื่องการทำลายอุปสรรคด้วยการเสนอให้มีการแก้ไข พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ.2564 ก่อน เพื่อเพิ่มโอกาสให้การแก้ไขมีโอกาสสำเร็จ

โดย นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคก้าวไกล ในฐานะประธานกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน สภาผู้แทนราษฎร เสนอทางเลือกในการแก้ไข 2 ประเด็นคือ ยกเลิกเกณฑ์ชั้นที่ 1 ไม่ต้องกำหนดจำนวนผู้ออกมาใช้สิทธิ์เกินกึ่งหนึ่ง และอีกหนึ่งทางคือ ให้เขียนว่า คนออกมาใช้สิทธิ์และลงคะแนนเห็นชอบ เกิน 25% หรือ 1 ใน 4 ของผู้มีสิทธิ์ทั้งหมด เพื่อป้องกันยุทธศาสตร์การนอนอยู่บ้านเพื่อคว่ำประชามติได้

แต่มันมีเสียงคัดค้านแนวคิดนี้ออกมาเหมือนกัน เพราะจุดประสงค์ของผู้ร่างต้องการให้แก้รัฐธรรมนูญยากขึ้น ไม่ใช่ใครอยากจะแก้ก็แก้ได้เลย จึงวางกลไกเอาไว้แน่นหนา และต้องได้รับความเห็นชอบจากประชาชนเสียงส่วนใหญ่ในประเทศ

ขณะเดียวกัน พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ เป็น ‘กฎหมายปฏิรูปประเทศ’ จะต้องเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาคือ สส.และ สว. อาจจะแก้ไขไม่ง่ายขึ้น โดยก่อนหน้านี้มี สว.บางคนออกมาแสดงความเห็นคัดค้านแล้ว 

โดย นายวันชัย สอนศิริ สมาชิกวุฒิสภา และอดีตกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ได้ออกมาคัดค้านว่า ไม่เห็นเหตุของความจำเป็นของการแก้ไขบทบัญญัติดังกล่าว อีกทั้งในการพิจารณาประเด็นดังกล่าวนั้นได้พิจารณาอย่างรอบคอบ เพราะหากมีผู้ออกมาใช้สิทธิ์ หรือออกเสียง เพียง 20%-30% อาจจะถือว่าการทำประชามตินั้นไม่ชอบได้

 “หลักเกณฑ์เรื่องการมาใช้สิทธิ์ออกเสียงที่กำหนดไว้ในกฎหมายประชามติที่เพิ่งบังคับใช้นั้น เพื่อให้เกิดความชอบธรรมต่อการแก้รัฐธรรมนูญ ดังนั้น หากจะลดหลักเกณฑ์ดังกล่าวอาจจะทำให้ไม่เกิดประโยชน์และอาจจะกระทบต่อผลของการออกเสียงประชามติที่ลดลงได้” อดีตกรรมาธิการที่ร่วมยกร่างกฎหมายฉบับนี้ ระบุ

อย่างไรก็ดี พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ.2564 ไม่ได้ถูกร่างมาเฉพาะให้ทำเกี่ยวกับเรื่องรัฐธรรมนูญ แต่ยังต้องใช้กับอีกในหลายๆ ประเด็น การแก้ไขด้วยการลดเกณฑ์ลงมา เพียงเพราะให้ ‘ผ่าน’ ง่ายขึ้น อาจจะไปกระทบต่อเรื่องอื่นๆ ในภายภาคหน้าได้

เพราะการทำประชามติมุ่งเน้นที่ ‘เสียงส่วนใหญ่’ หากปรับให้เหลือไม่ถึงกึ่งหนึ่ง จะยังสามารถเรียกว่า การทำประชามติได้อยู่หรือไม่ 

เรื่องนี้ดูแล้วไม่ง่าย เพราะยังมีประชาชนอีกบางส่วนในสังคมที่ไม่ได้เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ การที่รัฐบาลขยับจะแก้กฎหมายประชามติเพื่อเอื้อให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญสำเร็จอาจจะถูกคัดค้านอย่างหนัก อาจจะมีการร้องเรียนกันเกิดขึ้นได้อีก

ยังไม่ต้องถึงขั้นแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่แค่ ‘ประชามติ’ รัฐบาลก็เหนื่อยแล้ว

ขณะเดียวกัน หลายฝ่ายมองว่า พรรคเพื่อไทย ตลอดจนพรรคร่วมรัฐบาลที่ต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญอาจจะไม่ได้คิด หรือวางแผนเรื่องนี้มาเหมือนกัน จึงจะใช้วิธีแก้ปัญหาแบบนี้ 

ฉะนั้น จึงต้องจับตาการประชุมคณะกรรมการชุดที่มี นายภูมิธรรม เป็นประธานในวันศุกร์นี้ให้ดีว่า จะออกมาหน้าไหน?.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

สนามเลือกตั้งเมืองหลวง-กทม. ศึกชิง33เก้าอี้-แย่งเสียงปาร์ตี้ลิสต์ พรรคส้มเหงื่อตก หลายพรรครอเจาะยาง

หนึ่งในสาเหตุทางการเมืองที่คนยังเชื่อว่า พรรคส้ม-พรรคประชาชน จะชนะการเลือกตั้งในวันที่ 8 ก.พ.2569 ก็เพราะมองว่า สนามเลือกตั้งเมืองหลวง กรุงเทพมหานคร ที่มี

แนวรบสุดท้ายสู้สแกมเมอร์ ปัจจัยที่ต้องปิดจ๊อบชายแดน

แม้สถานการณ์สู้รบตามแนวชายแดน "ไทย-กัมพูชา" ในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนอีสานใต้ ฝ่ายไทยจะสามารถยึดเป้าหมายในหลายพื้นที่ และ มีแนวโน้มที่ดีใน 13 แนวรบ แต่ก็ยังประมาทไม่ได้ เพราะดูเหมือนว่า "กัมพูชา"

ได้ทุกขั้ว-เสบียงกรัง-อำนาจ เมินกระแส สส.แห่ซบ‘กล้าธรรม’

นอกจาก ‘พรรคภูมิใจไทย’ ที่มี ‘แม่เหล็ก’ ดึงดูดอดีต สส.และนักการเมือง ในการเลือกตั้งครั้งนี้แล้ว ‘พรรคกล้าธรรม’ อาณาจักรของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะที่ปรึกษาพรรค เป็นอีกค่ายหนึ่งที่มีผู้คนพาเหรดเข้ามาเป็นองคาพยพ

โจทย์หิน3แคนดิเดตนายกฯพท. ลูกเจ๊แดงโปรไฟล์ดีแต่มีข้อกังขา!

หลังพรรคเพื่อไทยเปิดตัว ศ.ดร.ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ อดีตรองอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล ลูกชายเจ๊แดง-เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาวทักษิณ ชินวัตร และสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯ เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี หมายเลข 1 อย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 16 ธ.ค.ที่ผ่านมา

พรรค‘ปชน.’ขอโทษจากใจ วอน‘ประชาชน’ไปต่อด้วยกัน

ภาพที่หัวหน้าพรรคสีส้มทุกยุคสมัยมาปรากฏตัวพร้อมหน้าบนเวทีเดียวกันไม่ได้เกิดขึ้นให้เห็นบ่อยนัก เอาเข้าจริงอาจจะยิ่งกว่าเวทีปราศรัยใหญ่ก่อนเลือกตั้งทุกครั้งด้วยซ้ำ เพราะในกิจกรรม

เร่งเกม'เลือกตั้ง-จบศึกชายแดน' เมื่อทุกแนวรบกำลังได้เปรียบ

เรียกได้ว่าเกือบจะเป็นฉันทามติของสังคมที่ต้องการให้กองทัพดำเนินกลยุทธ์ในการนำพื้นที่ตามเส้นปฏิบัติการของไทยคืนจากกัมพูชาให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดในการสู้รบระลอกที่ 2