วันอังคารนี้ 28 พ.ย. มีคิวสำคัญทางการเมืองที่น่าติดตามกันก็คือ การที่ เศรษฐา ทวีสิน นายกฯ และ รมว.คลัง ได้นัดแถลงข่าว นโยบาย-มาตรการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ
ที่จะมีการเปิดเผยรายละเอียด ขั้นตอน-กระบวนการว่า รัฐบาลมีนโยบายแก้ปัญหาหนี้นอกระบบอย่างไร
อันถือเป็นเรื่องน่าสนใจและท้าทายความสามารถของรัฐบาลเศรษฐาไม่น้อย ในการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ (Informal loan) ที่อยู่คู่กับสังคมมนุษย์มาช้านาน และเป็นเรื่องที่มีทุกประเทศทั่วโลก
หลังก่อนหน้านี้มีการเปิดเผยรายละเอียดออกมาแล้วว่า จะมีการให้ลูกหนี้ที่ไปกู้ยืมเงินนอกระบบ ที่หากเห็นว่าไม่เป็นธรรม เพราะถูกเรียกเก็บดอกเบี้ยเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด-โดนทวงหนี้ในลักษณะบังคับข่มขู่ ก็ให้ไปลงทะเบียนได้ ณ ที่ว่าการอำเภอ โดยจะเริ่มเปิดให้ลงทะเบียนในเดือนธันวาคมนี้ จากนั้นกรมการปกครองและสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะรวบรวมข้อมูลทั้งหมดแล้วใช้กลไก นายอำเภอ-ผู้กำกับสถานีตำรวจ ทั่วประเทศลงมาแก้ไขปัญหาดังกล่าว
เบื้องต้นกระทรวงมหาดไทยออกมารับลูกนำร่องไปก่อนแล้ว
โดยทาง สุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยเมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า ได้สั่งการไปยังทุกจังหวัด และนายอำเภอทุกอำเภอ เร่งตั้ง ศูนย์อำนวยการแก้ไขหนี้นอกระบบ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว โดยให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้อำนวยการศูนย์ฯ เพื่อแก้ปัญหาหนี้นอกระบบในพื้นที่ และให้ประชาสัมพันธ์ให้ลูกหนี้นอกระบบที่มีความประสงค์ขอรับการช่วยเหลือหรือให้ทางราชการแก้ไขปัญหา ไปลงทะเบียนตั้งแต่ 1 ธ.ค.เป็นต้นไป ที่เว็บไซต์ของกระทรวงมหาดไทย แต่หากไม่สะดวกให้ไปลงทะเบียนด้วยตนเอง ณ ที่ว่าการอำเภอ หรือสำนักงานเขตทุกแห่งใน กทม.จากนั้นศูนย์ดำรงธรรมอำเภอ จะเข้าไปช่วยเหลือลูกหนี้นอกระบบโดยเร็ว
นอกจากนี้กระทรวงมหาดไทยได้เรียก ผวจ.ทั่วประเทศ มารับมอบนโยบายการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ วันที่ 8 ธ.ค. ที่เมืองทองธานี
อย่างไรก็ตาม มีเสียงวิจารณ์ตามมาไม่น้อยว่า นโยบายดังกล่าวจะทำสำเร็จได้เป็นรูปธรรมมากน้อยแค่ไหน?
โดยเฉพาะการให้ลูกหนี้ หรือผู้กู้ ไปลงทะเบียนแสดงตัวตน เพราะการที่ลูกหนี้กู้ยืมเงินจากเจ้าหนี้หรือผู้ให้กู้ มันก็คือการตกลงกันของทั้ง 2 ฝ่ายในการกู้ยืมเงินระหว่างกัน พูดง่ายๆ คือเป็นความสมัครใจของลูกหนี้เองที่จะขอกู้เงินนอกระบบ เพราะเข้าไม่ถึงแหล่งเงิน เพราะอาจเป็นการกู้ยืมเงินในกรณีไม่มาก กู้เพื่อนำเงินมาทำมาหากิน หรือกู้แบบเร่งด่วน ที่ไม่ได้มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน จึงไปขอกู้หนี้นอกระบบกับเจ้าหนี้
ที่ก็พบว่า ผู้ให้กู้หรือเจ้าหนี้เงินนอกระบบจำนวนมากก็จะรู้จักกับ เจ้าหน้าที่รัฐ-ตำรวจ-คนมีสี ในพื้นที่ หรือบางพื้นที่ เจ้าหนี้ก็คือ เจ้าหน้าที่รัฐ-ข้าราชการ-ตำรวจในพื้นที่ ที่อาจเป็นเจ้าหนี้แบบเปิดเผยหรืออยู่เบื้องหลังการปล่อยกู้ดอกเบี้ยโหด
ดังนั้นการให้ลูกหนี้ที่เป็นประชาชนธรรมดา ไปลงทะเบียนแสดงตัวตน คำถามก็คือว่า จะมีหลักประกันในเรื่องความปลอดภัย การไม่ให้โดนข่มขู่ตามมาภายหลัง จากเครือข่ายเจ้าหนี้เงินกู้ ตามมาได้อย่างไร
เพราะพอมีการไปลงทะเบียนให้ข้อมูล ทางฝ่ายเจ้าหน้าที่ใน ศูนย์แก้ปัญหาหนี้นอกระบบของมหาดไทย ก็จำเป็นต้องเรียกเจ้าหนี้มาสอบถาม มาเจรจา จนถึงขั้นอาจมีการดำเนินการตามกฎหมาย หากมีการคิดดอกเบี้ยเกินกว่ากฎหมายกำหนด หากเป็นแบบนี้ ย่อมทำให้เจ้าหนี้รู้ตัวว่าถูกลูกหนี้ไปร้องเรียน และพยายามหาข่าวว่า ลูกหนี้รายใด ไปให้ข้อมูลดังกล่าว ผลที่ตามมาอาจทำให้ลูกหนี้ไม่ปลอดภัย ก็ได้
จึงเป็นเรื่องที่รัฐบาล-กระทรวงมหาดไทย-ตำรวจ ต้องมีหลักประกันในเรื่องการดูแลชีวิตความปลอดภัยของลูกหนี้ที่จะไปลงทะเบียน
สำหรับในปัจจุบันพบว่า มีกฎหมายที่ใช้บังคับเกี่ยวกับการห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา ที่ก็รวมถึงดอกเบี้ยเงินกู้นอกระบบด้วย เช่น
-พระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ.2560
-ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
โดยแม้กฎหมายหลักคือ พระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ.2560 จะไม่มีการระบุไว้ว่าห้ามคิดดอกเบี้ยเกินเท่าใด แต่ในทางกฎหมาย ก็คือจะยึดหลักตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์คือ
การให้กู้เงิน ต้องห้ามมิให้คิดดอกเบี้ยเกินร้อยละ 15 ต่อปี
แต่สำหรับธนาคารพาณิชย์สามารถปล่อยกู้และคิดดอกเบี้ยเกินกว่าร้อยละ 15 ต่อปีได้ เพราะมีกฎหมายแยกเฉพาะในส่วนของดอกเบี้ยให้กู้ยืมเงินของธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินออกมาอีกต่างหาก
พบว่าในมาตรา 4 ของ พ.ร.บ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราบัญญัติไว้ว่า
“บุคคลใดให้บุคคลอื่นกู้ยืมเงินหรือกระทำการใดๆ อันมีลักษณะเป็นการอำพรางการให้กู้ยืมเงิน เช่น เรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดไว้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”
ดังนั้นหากจะมีการใช้ไม้แข็ง จัดการกับกลุ่มเจ้าหนี้นอกระบบ ที่เรียกเก็บดอกเบี้ยเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ก็คาดว่าคงทำให้มีผลสะเทือนพอสมควรในหลายพื้นที่ แต่ขึ้นอยู่กับว่า ลูกหนี้จะไปให้ข้อมูลกับทางการหรือไม่ และจะมีการดำเนินการกับเจ้าหนี้นอกระบบที่คิดดอกเบี้ยเกินกว่ากฎหมายกำหนดอย่างจริงจังหรือไม่
ส่วนรายละเอียดว่า รัฐบาล-กระทรวงมหาดไทย จะมีแนวนโยบายการขับเคลื่อนเรื่องนี้อย่างไร รอฟังการแถลงข่าวจากนายกฯ วันที่ 28 พ.ย.นี้ต่อไป
และเมื่อจบจากการคิกออฟนโยบายแก้หนี้นอกระบบแล้ว วันที่ 12 ธ.ค.ก็มีข่าวว่า เศรษฐาจะแถลงนโยบายเรื่องการแก้ไขปัญหาหนี้ในระบบต่อไป
ดูทรงแล้วเศรษฐาคงเล่นใหญ่ ดันให้เรื่องการแก้ปัญหาหนี้เป็นวาระแห่งชาติ อีกหนึ่งนโยบายหลักของรัฐบาลเพื่อไทย
และมันก็คือไพ่ใบใหม่ของเพื่อไทยและเศรษฐา ที่หวังว่าทำออกมาแล้วจะช่วยแก้ปัญหาเศรษฐกิจ-ปัญหาปากท้องประชาชน แบบถึงตัวประชาชนโดยตรง โดยเฉพาะคนรากหญ้า ผู้มีรายได้น้อย ในช่วงที่นโยบายดิจิทัลวอลเล็ตกู้มาแจก ยังลูกผีลูกคน
ส่วนว่าไพ่ใบนี้แก้ปัญหาหนี้ประชาชน ทิ้งออกมาจะปังหรือจะแป๊ก ช่างน่าติดตามผลลัพธ์ในตอนท้าย.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'อนุทิน' สวน พท. ใครทำงานห่วย ยุครัฐบาลนิด-อิ๊งค์ ติดโพลอันดับ 2
'อนุทิน' สวนเพื่อไทย ถ้าทำงานห่วย คนตั้งก็แย่สิ ยุครัฐบาล 'อิ๊งค์ - เศรษฐา' ผลโพลชี้ชัดนั่งแท่นอันดับ 2 ทิ้งห่าง พท. หัวเราะให้คะแนนตัวเอง 'เดี๋ยวจะหาว่าคุย'
จิรุตม์-มณฑลลุ้นผงาดกกต. สีน้ำเงินคุมเสียงข้างมาก7เสือ
เมื่อมีความชัดเจนทางการเมืองว่า “พรรคเพื่อไทย” จะยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ หลังการโหวตร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญวาระ 3 ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า 2569
'ภัยพิบัติการเมือง เมื่อกฎบริจาค กลายเป็นสนามแข่งพรรคใหญ่'
ในช่วงปลายปี 2568 ซึ่งประเทศไทยกำลังเผชิญกับสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างน้ำท่วมในหลายพื้นที่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ออกมาชี้แจงแนวทางการบริจาคเงินและสิ่งของเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย
พลิกเกม"น้ำท่วม"สู้ศึกเลือกตั้ง สมรภูมิการเมืองช่วงชิงชัยชนะ
แรงกดดันของสังคมที่มีต่อ "อนุทิน ชาญวีรกูล" นายกรัฐมนตรี หลังเหตุการณ์มหาอุทกภัยที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา พุ่งเป้าไปที่ความผิดพลาด บกพร่อง และล่าช้า ในการสั่งการเข้าช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจนทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก
วิกฤตน้ำท่วมทำรัฐบาลรวน อาจป่วนถึงการแก้รัฐธรรมนูญ
วิกฤตในการบริหารสถานการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ของภาคใต้ โดยเฉพาะที่หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา นอกจากความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนจำนวนมหาศาลแล้ว ยิ่งทำให้รัฐบาลสูญเสียความน่าเชื่อถือในสายตาสาธารณชน
รัฐบาลอ่อนหัด โครงสร้างล้าหลัง ฉุดเชื่อมั่น'อนุทิน-ภท.'จมดิ่งกับน้ำท่วม
วิกฤตมหาอุทกภัยถล่ม อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ศูนย์กลางเศรษฐกิจภาคใต้ สร้างความหายนะราวกับคลื่นสึนามิ ซากปรักหักพังของเมืองเสมือนวันสิ้นโลก


