ดิจิทัลวอลเล็ตสะดุด'พรบ.ธ.ก.ส.' แจกเงินหมื่น‘ลูกผีลูกคน’อีกแล้ว

ภาพ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ รมว.การคลัง นำทีมหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค หรือแกนนำพรรคร่วมรัฐบาล ที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี มาแถลงมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่เห็นชอบหลักการ โครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา

ต้องการแสดงให้เห็นถึงภาพของการเห็นพ้องของทุกพรรคต่อโครงการดังกล่าว

แต่ในอีกนัยหนึ่งมีการตั้งข้อสังเกตว่า หากมั่นใจว่าทุกอย่างฉลุย ทุกพรรคพร้อมสนับสนุนเต็มที่ ก็ไม่จำเป็นที่นายเศรษฐาจะต้องนำแกนนำพรรคร่วมรัฐบาล ตลอดจนหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา และผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ มายืนเป็นแบ็กกราวด์อยู่ด้านหลังแต่อย่างใด

มันเหมือนกับการ ล็อกคอ มา เพื่อทำให้หลายฝ่ายเห็นว่า ส่วนใหญ่เห็นด้วยกับโครงการนี้ มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่คัดค้าน

ส่วนน้อย ที่ว่า อาจจะหมายถึง นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่เป็นหน่วยงานเดียวที่แสดงความไม่เห็นด้วย ผ่านหนังสือที่ส่งไปให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ลงวันที่ 22 เมษายน 2567 เพื่อเสนอความเห็นประกอบการพิจารณาในการประชุม ครม.วันที่ 23 เม.ย.67

สาระสำคัญคือ โครงการเติมเงินดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่นบาท เป็นโครงการขนาดใหญ่ของประเทศ ต้องใช้เงินจำนวนมาก อาจก่อให้เกิดภาระหนี้ผูกพันต่อรัฐบาลในอนาคต ช่องว่างที่อาจก่อให้เกิดการทุจริต ตลอดจนแนะนำให้เลือกประหยัดงบประมาณด้วยการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางที่ตรงจุดมากกว่า

การยืนแถลงวันนั้นของนายเศรษฐาอาจเป็นการแสดงพลัง เพื่อต้องการลดทอนความเห็นของ ธปท. ให้เป็นเพียงแค่ส่วนน้อยเท่านั้น

ขณะเดียวกันยังมองกันว่า ที่ผู้ว่าฯ ธปท. แสดงความไม่เห็นด้วยผ่านหนังสือประกอบการพิจารณาของ ครม.เพื่อเป็นการเซฟตัวเอง ว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องและไม่เคยเห็นด้วยกับโครงการนี้ หากวันข้างหน้าเกิดความเสียหายและเกิดปัญหาทางข้อกฎหมาย

ผู้ว่าฯ ธปท.ระวังเรื่องนี้มาโดยตลอดเพื่อไม่ให้ถูกมัดรวม ตั้งแต่การประชุมคณะกรรมการดิจิทัลวอลเล็ตชุดใหญ่ครั้งแรกๆ ที่เคยเอ่ยปากขอให้ที่ประชุมบันทึกการประชุมทุกคำพูดและความเห็นของตัวเอง ตลอดจนไม่เข้าร่วมประชุมในวันที่คณะกรรมการชุดดังกล่าวเห็นชอบโครงการเพื่อส่งเข้าครม.

อย่างไรก็ดี หลายฝ่ายไม่ได้แปลกใจกับท่าทีของผู้ว่าฯ ธปท. เพราะเสมอต้นเสมอปลายกับจุดยืนนี้มาตลอด

แต่เรื่องที่น่าจับตาคือ ความไม่มั่นใจจนต้องเอาพรรคร่วมรัฐบาลมาอยู่ในเฟรมของนายเศรษฐา มันชวนคิดว่า สรุปแล้วโครงการนี้ได้รับไฟเขียวจากกลุ่มอำนาจเก่าแล้ว หรือยังลูกผีลูกคนอยู่

ข้อท้วงติงของ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานพรรคไทยภักดี เมื่อวันก่อนยิ่งน่าสนใจ หากขจัดอคติว่า เป็นคนที่ไม่มีทางเห็นด้วยกับโครงการนี้อยู่แล้วออก

โดย นพ.วรงค์อ้างข้อห่วงใยของอดีตคน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ที่มีส่วนร่วมในการแก้ไขมาตรา 9 พ.ร.บ.ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ซึ่งเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของ ธ.ก.ส.ว่าไม่สามารถนำเงินไปใช้ในโครงการนี้ได้

เพราะกำหนดให้ ธ.ก.ส.ช่วยเหลือเกษตรกรเป็นหลัก อย่างเช่น โครงการรับจำนำข้าวที่สามารถทำได้ เพราะดำเนินการภายใต้ขอบวัตถุประสงค์มาตรา 9 (1) ให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่เกษตรกรสำหรับการประกอบอาชีพเกษตรกรรม

ส่วนโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ที่มอบหมายให้ ธ.ก.ส.ดำเนินการตาม พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังมาตรา 28 ไม่ได้อยู่ในขอบวัตถุประสงค์ของ ธ.ก.ส. เพราะไม่ได้เป็นโครงการที่ส่งเสริมหรือสนับสนุนการประกอบเกษตรกรรม แต่โครงการมีวัตถุประสงค์กระตุ้นเศรษฐกิจ เกษตรกรผู้รับเงิน 1 หมื่นบาท นำไปใช้จ่ายดำรงชีวิตทั่วไป ไม่ได้นำไปประกอบอาชีพเกษตรกรรมอย่างชัดเจน

ไม่ได้เป็นโครงการที่ส่งเสริมหรือสนับสนุนการประกอบเกษตรกรรมเพื่อเพิ่มรายได้ เพราะเกษตรกรผู้รับเงิน 1 หมื่นบาท สามารถนำไปใช้จ่ายที่ไม่เกี่ยวข้องกับการประกอบอาชีพ จึงไม่เป็นการส่งเสริมหรือสนับสนุนการประกอบกิจการเพื่อเพิ่มรายได้

ไม่ได้เป็นโครงการที่ส่งเสริมหรือสนับสนุนการประกอบเกษตรกรรมเพื่อเพิ่มรายได้หรือพัฒนาคุณภาพชีวิต เพราะการพัฒนาคุณภาพชีวิตตามกฎกระทรวง ท้ายมาตรา 9 ขยายความมาตรา 9 (1) ข้อ (ง) นี้ จะต้องเป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่เกี่ยวกับการศึกษา การอบรม การดูงาน การรักษาพยาบาล การปรับปรุงการจัดหาที่อยู่อาศัยเท่านั้น

ไม่เพียง นพ.วรงค์ แต่ นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ ก็เห็นไปในทางเดียวกันว่าจะติดตอที่มาตรา 9

“คนไทยทุกคนที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป จะได้ “กระเป๋าเงินดิจิทัล” (Digital Wallet)” จึงเป็นนโยบายที่เน้นกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศที่แจกเงินแบบเหวี่ยงแหกระจาย มิใช่ดำเนินการเพื่อพัฒนาการเกษตร”

แม้อีกฝั่งจะมองว่า ทั้ง นพ.วรงค์ และ นายธีระชัย เป็นฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล หรือมีปัญหากันมาก่อน ไม่แปลกที่จะต้องค้านหัวชนฝา หาข้อติติง แต่ถ้ากางกฎหมายดูจะเห็นว่า มันมีข้อชวนคิดเหมือน

ฉะนั้น ด่าน ธ.ก.ส. ที่อยู่ภายใต้การกำกับของรัฐ ที่ตอนแรกดูเหมือนง่าย แต่ไปๆ มาๆ อาจจะไม่ง่าย มีประเด็นข้อกฎหมายมาให้ชวนคิด

และการที่รัฐบาลจะสอบถามคณะกรรมการกฤษฎีกาในเรื่องนี้ มันก็สะท้อนให้เห็นว่า อาจไม่ได้นึกถึงข้อนี้มาก่อนว่าจะมีปัญหา.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

หาดใหญ่-สแกมเมอร์ทำรบ.'แต้มหล่น' 'อนุทิน'เปิดหน้าชนกู้เรตติ้ง

โดนล่อเป้าในจังหวะที่รัฐบาลกำลังอยู่ในสภาพอ่อนแอจากกรณีมหาอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ โดยเฉพาะที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา สำหรับการปล่อยภาพที่มีนายอนุทิน ชาญวีรกูล

'อนุทิน' สวน พท. ใครทำงานห่วย ยุครัฐบาลนิด-อิ๊งค์ ติดโพลอันดับ 2

'อนุทิน' สวนเพื่อไทย ถ้าทำงานห่วย คนตั้งก็แย่สิ ยุครัฐบาล 'อิ๊งค์ - เศรษฐา' ผลโพลชี้ชัดนั่งแท่นอันดับ 2 ทิ้งห่าง พท. หัวเราะให้คะแนนตัวเอง 'เดี๋ยวจะหาว่าคุย'

จิรุตม์-มณฑลลุ้นผงาดกกต. สีน้ำเงินคุมเสียงข้างมาก7เสือ

เมื่อมีความชัดเจนทางการเมืองว่า “พรรคเพื่อไทย” จะยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ หลังการโหวตร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญวาระ 3 ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า 2569

'ภัยพิบัติการเมือง เมื่อกฎบริจาค กลายเป็นสนามแข่งพรรคใหญ่'

ในช่วงปลายปี 2568 ซึ่งประเทศไทยกำลังเผชิญกับสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างน้ำท่วมในหลายพื้นที่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ออกมาชี้แจงแนวทางการบริจาคเงินและสิ่งของเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย

พลิกเกม"น้ำท่วม"สู้ศึกเลือกตั้ง สมรภูมิการเมืองช่วงชิงชัยชนะ

แรงกดดันของสังคมที่มีต่อ "อนุทิน ชาญวีรกูล" นายกรัฐมนตรี หลังเหตุการณ์มหาอุทกภัยที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา พุ่งเป้าไปที่ความผิดพลาด บกพร่อง และล่าช้า ในการสั่งการเข้าช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจนทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก

วิกฤตน้ำท่วมทำรัฐบาลรวน อาจป่วนถึงการแก้รัฐธรรมนูญ

วิกฤตในการบริหารสถานการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ของภาคใต้ โดยเฉพาะที่หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา นอกจากความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนจำนวนมหาศาลแล้ว ยิ่งทำให้รัฐบาลสูญเสียความน่าเชื่อถือในสายตาสาธารณชน