การดึงนายวิษณุ เครืองาม อดีตรองนายกรัฐมนตรีในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มาช่วยเป็นที่ปรึกษาเรื่องกฎหมาย ซ่อนนัยทางการเมือง
แม้แต่การที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เข้าไปพบกับนายวิษณุเมื่อช่วงวันหยุดที่ผ่านมา เพื่อขอคำปรึกษาเกี่ยวกับการต่อสู้คดีในชั้นศาลรัฐธรรมนูญ กรณีแต่งตั้ง นายพิชิต ชื่นบาน เป็น รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ก็เช่นกัน
โดยมีรายงานว่า นายเศรษฐาติดต่อขอคำปรึกษาเจ้าของฉายาเนติบริกร ตั้งแต่ตนเองปฏิบัติภารกิจอยู่ต่างประเทศ หรือแม้แต่กลับมาถึงประเทศไทยในวันศุกร์ที่ 24 พฤษภาคมแล้ว ก็พยายามติดต่อเพื่อไปพบ
ตามรายงานระบุว่า นายเศรษฐาไปหานายวิษณุเมื่อช่วงเช้าวันเสาร์ที่ 25 พฤษภาคม พร้อมกับชักชวนให้มาเป็นรองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายกฎหมาย รวมไปถึงที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี แต่ฝ่ายผู้ถูกชักชวนปฏิเสธตำแหน่งดังกล่าว กระทั่งลงเอยที่ตำแหน่งที่ปรึกษาสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.)
ไม่เพียงให้เป็นที่ปรึกษาเท่านั้น นายเศรษฐายังขอให้นายวิษณุเข้าร่วมประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ด้วย เพื่อช่วยดูระเบียบ วาระ ข้อกฎหมายต่างๆ ให้ถูกต้อง
ต้องยอมรับว่า รัฐบาลชุดนี้อาจจะมีมือกฎหมาย มีอดีตอัยการสูงสุด ทนายความ นักวิชาการหลายคน แต่ไม่มีมือกฎหมายที่มีความเจนจัดในเรื่องรัฐศาสตร์ สามารถพลิกแพลงกฎหมายได้อย่างแยบยลและมีเครดิต ตลอดจนคอนเนกชันเหมือนกับนายวิษณุ
ในทางการเมือง นายวิษณุถือว่ายังเป็นเต้ยในด้านนี้
แต่อย่างไรก็ดี การมาครั้งนี้ เรื่องฝีมือของนายวิษณุถูกมองว่าเป็นเหตุผลส่วนหนึ่งเท่านั้น เพราะบางฝ่ายให้น้ำหนักในมิติทางการเมืองมากกว่า โดยเฉพาะคดีของนายเศรษฐาในศาลรัฐธรรมนูญ
นายวิษณุมีส่วนกับการดีไซน์รัฐธรรมนูญกับคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ตั้งแต่ปี 2557 ทั้งฉบับชั่วคราว ทั้งฉบับถาวร รู้เห็นกับการแต่งตั้งบุคคลในองค์กรอิสระมาตลอด 9 ปี
ซึ่งหลายคนตั้งข้อสังเกตว่า การที่นายเศรษฐาเลือกที่จะปรึกษานายวิษณุ คงไม่ได้อยู่ๆ จะเดินเข้าไปหาเอง แต่น่าจะมีคนชี้นิ้วส่งสัญญาณ หรือเบิกทางให้
เช่นเดียวกัน นายวิษณุคงไม่ตอบรับมาช่วยงานง่ายๆ เพียงเพราะนายเศรษฐาใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัว หรือใครติดต่อไปเพื่อขอให้ช่วย แต่ต้องได้รับสัญญาณมาเหมือนกันว่าให้มาช่วย
อย่าลืมว่า ระดับนายวิษณุไม่ได้จะมาช่วยงานใครสุ่มสี่สุ่มห้า ต่อให้ใครจะมองว่าเป็นเนติบริกรที่ผ่านการทำงานกับรัฐบาลมาหลายชุดหลายขั้วก็ตาม
โดยตั้งแต่เหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 นายวิษณุระมัดระวังตัวในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก ไม่เอาตัวเองลงไปเสี่ยงในเรื่องอะไรที่มันล่อแหลมหรือเข้าเนื้อ
และต่อให้จะเคยร่วมงานกับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ สมัยรัฐบาลพรรคไทยรักไทยก็ตาม แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่นายวิษณุลงมาช่วยแน่ๆ
อีกทั้งนับตั้งแต่รัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 ภาพของนายวิษณุคือมือกฎหมายของฝ่ายอนุรักษนิยม แทบจะไม่เหลือภาพอดีตเสนาบดีในรัฐบาลพรรคไทยรักไทยแล้ว
การลงมาช่วยนายเศรษฐาจึงเหมือนมีคนบอกให้มา และคนที่ส่งให้มาคงไม่ใช่ระดับนักการเมืองทั่วไป แต่ต้องระดับบิ๊กที่สามารถปกป้องคุ้มครองความปลอดภัยของรัฐบาลชุดนี้ได้
และอาจจะเป็นคนคนเดียวกับที่ไฟเขียวให้นายเศรษฐาเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30
รวมไปถึงเป็นคนคนเดียวที่ให้นายวิษณุดำเนินการเกี่ยวกับการขอพระราชทานอภัยโทษของนายทักษิณ ตอนป็นรองนายกรัฐมนตรี และรักษาการ รมว.ยุติธรรม ในช่วงท้ายรัฐบาลก่อน
ที่สำคัญต้องใหญ่ระดับที่สามารถต่อกรกับขบวนการที่พยายามจะเขย่ารัฐบาลนายเศรษฐาอยู่ในเวลานี้ได้
ซึ่งมีการมองว่า การส่งนายวิษณุมาอาจจะเป็นสัญญาณบ่งบอกได้อย่างหนึ่งว่า ผู้กุมอำนาจยังไว้วางใจให้นายเศรษฐาบริหารประเทศอยู่
ขณะที่ในแง่การทำงาน รัฐบาลจะได้ความรัดกุมมากขึ้น นอกจากเรื่องวาระ ครม.ที่จะละเอียดรอบคอบขึ้น นายวิษณุยังเป็นคณะกรรมการกฤษฎีกา คณะที่ 2 ดูเรื่องการบริหารราชการแผ่นดิน ซึ่งหลายเรื่องที่รัฐบาลปรึกษาได้ถูกส่งไปในคณะนี้ อย่างเช่น เรื่องให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ออกจากราชการ
อย่างเรื่องคุณสมบัตินายพิชิต ที่รัฐบาลส่งไปปรึกษาคณะกรรมการกฤษฎีกา ก็เป็นคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะพิเศษ) ที่ตั้งขึ้นมา โดยมีนายวิษณุเป็นประธานพิจารณา
และต้องยอมรับว่า การทำงานของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาในช่วงก่อนหน้านี้ หลายเรื่องให้ความเห็นที่ไม่พอใจรัฐบาลนัก ทั้งเรื่องการให้ความเห็นเรื่องการออก พ.ร.บ.กู้เงิน 5 แสนล้านบาท เพื่อใช้ในโครงการดิจิทัลวอลเล็ต หรือความเห็นเกี่ยวกับคุณสมบัตินายพิชิต โดยเฉพาะตัวนายปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่มีข่าวว่าทำให้นายเศรษฐาหงุดหงิดบ่อยครั้ง จนครั้งหนึ่งมีข่าวว่าจะไม่ต่อวาระการดำรงตำแหน่งให้
แต่เมื่อนายวิษณุมา ท่าทีอาจจะเปลี่ยนแปลงไป เพราะนายปกรณ์ถือเป็นศิษย์ก้นกุฏิของนายวิษณุ เป็นนักกฎหมายในเครือข่ายเนติบริกร
ออปชันในตัวนายวิษณุมีมากมาย รัฐบาลชุดนี้จะได้ประโยชน์อย่างมาก
นายวิษณุคัมแบ็กครั้งนี้ไม่ได้มาด้วยเหตุผลพิศวาส แต่มาเพื่อภารกิจ.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
สนามเลือกตั้งเมืองหลวง-กทม. ศึกชิง33เก้าอี้-แย่งเสียงปาร์ตี้ลิสต์ พรรคส้มเหงื่อตก หลายพรรครอเจาะยาง
หนึ่งในสาเหตุทางการเมืองที่คนยังเชื่อว่า พรรคส้ม-พรรคประชาชน จะชนะการเลือกตั้งในวันที่ 8 ก.พ.2569 ก็เพราะมองว่า สนามเลือกตั้งเมืองหลวง กรุงเทพมหานคร ที่มี
แนวรบสุดท้ายสู้สแกมเมอร์ ปัจจัยที่ต้องปิดจ๊อบชายแดน
แม้สถานการณ์สู้รบตามแนวชายแดน "ไทย-กัมพูชา" ในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนอีสานใต้ ฝ่ายไทยจะสามารถยึดเป้าหมายในหลายพื้นที่ และ มีแนวโน้มที่ดีใน 13 แนวรบ แต่ก็ยังประมาทไม่ได้ เพราะดูเหมือนว่า "กัมพูชา"
ได้ทุกขั้ว-เสบียงกรัง-อำนาจ เมินกระแส สส.แห่ซบ‘กล้าธรรม’
นอกจาก ‘พรรคภูมิใจไทย’ ที่มี ‘แม่เหล็ก’ ดึงดูดอดีต สส.และนักการเมือง ในการเลือกตั้งครั้งนี้แล้ว ‘พรรคกล้าธรรม’ อาณาจักรของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะที่ปรึกษาพรรค เป็นอีกค่ายหนึ่งที่มีผู้คนพาเหรดเข้ามาเป็นองคาพยพ
โจทย์หิน3แคนดิเดตนายกฯพท. ลูกเจ๊แดงโปรไฟล์ดีแต่มีข้อกังขา!
หลังพรรคเพื่อไทยเปิดตัว ศ.ดร.ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ อดีตรองอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล ลูกชายเจ๊แดง-เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาวทักษิณ ชินวัตร และสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯ เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี หมายเลข 1 อย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 16 ธ.ค.ที่ผ่านมา
พรรค‘ปชน.’ขอโทษจากใจ วอน‘ประชาชน’ไปต่อด้วยกัน
ภาพที่หัวหน้าพรรคสีส้มทุกยุคสมัยมาปรากฏตัวพร้อมหน้าบนเวทีเดียวกันไม่ได้เกิดขึ้นให้เห็นบ่อยนัก เอาเข้าจริงอาจจะยิ่งกว่าเวทีปราศรัยใหญ่ก่อนเลือกตั้งทุกครั้งด้วยซ้ำ เพราะในกิจกรรม
เร่งเกม'เลือกตั้ง-จบศึกชายแดน' เมื่อทุกแนวรบกำลังได้เปรียบ
เรียกได้ว่าเกือบจะเป็นฉันทามติของสังคมที่ต้องการให้กองทัพดำเนินกลยุทธ์ในการนำพื้นที่ตามเส้นปฏิบัติการของไทยคืนจากกัมพูชาให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดในการสู้รบระลอกที่ 2

