กรณีสถานการณ์ “กัญชา” พลิกจากเดิมที่จะถูกดึงกลับไปเป็นยาเสพติด หักนโยบายพรรคภูมิใจไทยสร้างมา เป็นการออก พ.ร.บ. เพื่อใช้เฉพาะทางการแพทย์ วิจัย เศรษฐกิจเท่านั้น
หลัง เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ทุบโต๊ะเพื่อยุติปัญหาพรรคร่วมรัฐบาล โดยเชิญ อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย (มท.1) ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) และ สมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข จากพรรคเพื่อไทย มาเคลียร์ก่อนการประชุม ครม. เมื่อวันที่ 23 ก.ค.
ก่อนนายกฯ ยอมถอยและคงไม่ใช่เหตุผลเพราะ อนุทิน อ้างว่าเป็นนโยบายชักเข้าชักออกที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นจากนักลงทุนเท่านั้น ทั้งที่เป็นผู้มอบนโยบายดังกล่าว และสั่งการให้ สมศักดิ์ เดินหน้าเต็มสูบในช่วงเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา
แต่เป็นเพราะไม่พร้อมแตกหัก หลัง หัวหน้าพรรคสีน้ำเงิน แจ้งกับ นายกรัฐมนตรี สัปดาห์ที่ผานมาว่า พรรคภูมิใจไทยไม่สบายใจ และเตรียม “โหวตโน” หากกระทรวงสาธารณสุขเสนอบอร์ด ป.ป.ส. กลับไปเป็นยาเสพติด
ถึงขนาด “นายใหญ่” ทักษิณ ชินวัตร แห่งพรรคเพื่อไทย ต้องเดินทางไปเคลียร์กับ “เสี่ยหนู” ที่ แรนโช ชาญวีร์ รีสอร์ท แอนด์ คันทรีคลับ อาณาจักรของอนุทินที่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา เมื่อวันที่ 19-20 ก.ค.ที่ผ่านมา
ขณะที่ สมศักดิ์ ต้องยอมกลืนเลือดและกลายเป็นหนังหน้าไฟ เพราะหากยังดื้อก็มีสิทธิ์ถูกปรับออกจาก ครม. แต่หากยอมก็ได้เป็นเสนาบดีต่อไป
ส่วนสาเหตุที่ต้องประนีประนอมเพราะโมงยามนี้ อนุทิน และ พรรคภูมิใจไทย ไม่ใช่ “หมูในอวย” อย่างเช่นครั้งจัดตั้งรัฐบาลมีเสียง สส. 71 เสียง หรือช่วงปรับ ครม.เมื่อเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา ต้องเล่นบท “หมอบราบคาบ” เพราะกลัวถูกเขี่ยออกพ้นรัฐบาล โดยมีกระแสข่าว พรรคอะไหล่สีฟ้า จ้องเข้ามาเสียบแทน
สำหรับ แรงหนุนทำให้หุ้นการเมืองของ “คนเลือดน้ำเงิน” สูงขึ้น อาจเริ่มต้นจากสัญญาณในวันที่ 16 มิ.ย.ที่ผ่านมา
เมื่อราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ พระบรมราชโองการพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า ชั้นที่ 2 ชื่อทุติยจุลจอมเกล้าฝ่ายหน้าและเหรียญรัตนาภรณ์ ชั้นที่ 3 ให้แก่ “อนุทิน ชาญวีรกูล” ถือเป็นนักการเมืองเดียวใน ครม.ที่ได้รับโปรดเกล้าฯ พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์นี้
มิพักในวันที่ 10 ก.ค.ที่ผ่านมา กกต.ยังได้รับรอง สว.ชุดใหม่จำนวน 200 คน เกิดเสียงวิจารณ์กันให้แซ่ดว่า ในจำนวน 150 บวก เป็น สว.สายสีน้ำเงิน สีเหมือนกับ พรรคภูมิใจไทย ที่มีธีมสีหลักเป็นสีน้ำเงินเช่นกัน
ยังตอกย้ำด้วยผลเลือกประมุขฝ่ายสภาสูงเป็นไปตามโผ คือ มงคล สุระสัจจะ ดำรงตำแหน่งประธานวุฒิสภา ด้วยคะแนน 159 คะแนน พล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์ ได้คะแนน 150 เสียง ได้รับเลือกเป็นรองประธานวุฒิสภาคนที่หนึ่ง และ บุญส่ง น้อยโสภณ ได้คะแนน 167 เสียง ได้รับเลือกเป็นรองประธานวุฒิสภาคนที่สอง
ว่ากันว่า บุคคลเหล่านี้ได้รับไฟเขียวจาก “บ้านใหญ่บุรีรัมย์” และยังต้องจับตาช็อตต่อไปว่า เตรียมจองตำแหน่งประธาน กมธ.ชุดสำคัญในวุฒิสภาไว้ทั้งหมดหรือไม่
จึงไม่น่าแปลก อำนาจทางการเมืองไหลมาที่พรรคภูมิใจไทย และออร่าเปล่งประกายพุ่งมาที่ตัว อนุทิน เพราะมีเสียงหนุนในรัฐสภาไม่น้อยกว่า 220 เสียง (สส. 71-สว. 150+)
โดยเฉพาะเก้าอี้ในวุฒิสภาที่มีเสียงข้างมาก 3 ใน 4 เสียงถืออำนาจสำคัญ โดยเฉพาะการตั้งคนเข้าไปในองค์กรอิสระต่างๆ อาทิ ป.ป.ช., กกต., ศาลรัฐธรรมนูญ, ผู้ตรวจการแผ่นดิน ฯลฯ ที่ให้คุณให้โทษทางการเมืองได้
รวมถึงสามารถเข้าชื่อยื่นถอดถอนรัฐมนตรีและนายกฯ อย่างเช่น กรณี 40 สว. ยื่นสอย เศรษฐา ปมแต่งตั้ง พิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีละเมิดรัฐธรรมนูญและจริยธรรม
ไม่นับการกลั่นกรองกฎหมาย ตั้งกระทู้ถามสด และเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจแบบไม่ลงมติ ที่สามารถสร้างแรงกระเพื่อมทางการเมืองให้แก่พรรคแกนนำรัฐบาลอย่างเพื่อไทยได้ทุกเมื่อ
นอกจากนี้ยังเป็นผู้ควบคุมการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะต้องใช้เสียง สว. 1 ใน 3 หรืออย่างน้อย 67 คน ถึงจะแก้ไขกฎหมายสูงสุดของประเทศได้สำเร็จ
ยิ่งเมื่อเห็นการให้แสดงวิสัยทัศน์ของ มงคล ในฐานะประธานสภาสูงคนใหม่ ที่ระบุว่า นับตั้งแต่บรรจุเป็นข้าราชการกระทรวงมหาดไทยในตำแหน่งปลัดอำเภอ สำนึกว่าแผ่นดินนี้ได้ให้โอกาสเขามากมายเหลือเกิน
“จึงตั้งปณิธานไว้อย่างแน่วแน่ว่าจะอุทิศชีวิตตอบแทนประชาชน รักษาสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ เป็นปณิธานที่แน่วแน่ยึดมั่นมาตลอดตั้งแต่รับราชการถึงปัจจุบัน และจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงจนกว่าชีวิตจะหาไม่” ประธานวุฒิสภากล่าว
ฟันธงได้เลย สถานการณ์ต่างๆ ที่จะสร้างความวุ่นวายในบ้านเมืองและสถาบันเบื้องสูงจะไม่เกิดขึ้น อาทิ 1.การแก้ไขรัฐธรรมนูญทุกมาตรา ตามแนวทางของพรรคก้าวไกล 2.การออกกฎหมายนิรโทษกรรม ที่เหมารวมคดีประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จะแท้งก่อนคลอด หลังพรรคเพื่อไทยยังไม่ชัดเจน ท่ามกลาง ทักษิณ ชินวัตร ถูกศาลอาญารับฟ้องในคดีมาตรา 112 และ 3.เสียงสะท้อนให้แก้ไขที่มาของ สว. จะได้รับการปฏิเสธ เพราะ สว.ชุดนี้ได้รับประโยชน์จากกติกาเหล่านี้ตามรัฐธรรมนูญปี 60
ด้วยเหตุผลเหล่านี้จึงส่งผล อนุทิน-พรรคภูมิไทย เปรียบเป็น “พยัคฆ์ติดปีก” สามารถการันตีเก้าอี้รัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงแรงงาน และกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ได้ครบเทอม หรือหากต้องการสลับกระทรวงก็มีอำนาจต่อรองกับพรรคเพื่อไทยได้เช่นกัน
ส่วนตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ “อนุทิน” อาจต้องรอสมัยหน้า เพราะเสียงสภาล่างยังไม่พอ เว้นแต่จะเหมางูเห่าสีส้มได้จำนวนมหาศาลมาเติม หากกรณีพรรคก้าวไกลถูกยุบในวันที่ 7 ส.ค.นี้
หรือ “นายใหญ่” เห็นชอบ เพราะคนเพื่อไทยยังไม่พร้อมในสถานการณ์ที่ลุ้นว่าศาลรัฐธรรมนูญกำลังตัดสินอนาคต “เศรษฐา” ในวันที่ 14 ส.ค.นี้จะออกมาเป็นเช่นใด.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ชวนซื้อOTOP ช่วยคนในชาติ ที่กำลังลำบาก
นายกฯ เปิดงาน OTOP CITY 2025 ปลื้มตียอดแตกรายได้มากกว่าทุกปี
หนูแบไต๋ร่วมได้ทุกพรรค
“อนุทิน” เปิดทางทุกพรรคที่สร้างประโยชน์ให้บ้านเมือง เหน็บ "เด็กพรรคส้ม"
‘เท้ง’พลาดซ้ำ รีบผลัก‘ภท.’ พา‘พรรคส้ม'ผูกมัดตัวเอง
ไม่ว่าจะคิดมาดีแล้ว หรือไม่ทันระวัง การรีบประกาศว่า หากพรรคภูมิใจไทยเป็นรัฐบาล พรรคประชาชนจะไปเป็นฝ่ายค้านของ ‘เท้ง’ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ถือเป็นเรื่องที่นักเลือกตั้งซึ่งมีประสบการณ์ทางการเมืองสูงไม่เลือกจะทำ
นายกฯ คุยทูตพิเศษจีนแล้ว รับทราบจุดยืนไทย สันติภาพเกิดขึ้นตามเงื่อนไข 4 ข้อ
นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้สัมภาษณ์ภายหลังการหารือกับนายจาง เจียนเว่ย เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย และนายเติ้ง สีจวิน เอกอัครราชทูตและผู้แทนพิเศษด้านกิจการเอเชียและกระทรวงการต่างประเทศจีนว่า
'อนุทิน' ยังนิ่ง! ไม่ตอบโต้ 'เท้ง' ปิดประตูร่วมรัฐบาลกับภูมิใจไทย
"อนุทิน" บอกหลังเลือกตั้งพร้อมจับมือกับพรรคที่สร้างประโยชน์ให้บ้านเมือง ไม่อยากพูดก่อน ผลลต.ออก เดี๋ยวทำไม่ได้ใครพูดก่อนต้องกลืนน้ำลาย
ลั่น‘ไทย’เชื่อตัวเอง อนุทินกร้าวไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม/นย.เสียขารายที่8
“อนุทิน” ลั่นยังไม่ให้ประเทศไหนเข้ามาเป็นคนกลางเจรจา เป็นเรื่องระหว่างไทยกับกัมพูชาโดยตรง ไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหม

