สถานการณ์ฝุ่นพิษ PM2.5 เกินค่ามาตรฐาน ปกคลุมพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพประชาชน ตลอดจนการดำเนินชีวิตประจำวันถึงตอนนี้ สถานการณ์ยังน่าเป็นห่วงอยู่ โดยเฉพาะเมืองหลวงประเทศไทย กรุงเทพมหานคร ที่อยู่ในสภาพ มหานครจมฝุ่นพิษ มาหลายวัน
สิ่งที่เกิดขึ้นเวลานี้เห็นได้ชัดว่า ส่งผลต่อคะแนนนิยมรัฐบาลเพื่อไทย-แพทองธาร ชินวัตร อย่างเห็นได้ชัด เพราะเรื่องฝุ่นพิษไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นแบบไม่ทันให้รัฐบาลตั้งตัว แต่เป็นปัญหาที่จะเกิดขึ้นในวงรอบแต่ละช่วงอยู่แล้ว โดยเฉพาะที่เกิดหนักๆ ก็คือ ช่วงปลายปีจนถึงต้นปีที่เกิดขึ้นมาหลายปีติดต่อกัน โดยเฉพาะตั้งแต่ช่วงปี 2561 เป็นต้นมา ที่ทำให้คนไทยรู้จักฝุ่นพิษ PM2.5
แต่เมื่อปัญหาฝุ่นพิษ ประชาชนรู้สึกว่า ไม่ได้รับการป้องกันและแก้ไขที่ดีพอจากรัฐบาลแพทองธาร ที่มีเวลาเตรียมตัวพอสมควร เพราะเป็นรัฐบาลเพื่อไทยที่บริหารประเทศมาต่อเนื่องเกือบ 2 ปี ประชาชนจึงมองว่า รัฐบาลต้องมีแนวทางและมาตรการในการป้องกันปัญหาที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ แต่เมื่อยังเกิดปัญหาซ้ำซาก และดูเหมือนรอบนี้จะหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ จนหลายหน่วยงานภาครัฐต้องออกมาตรการเร่งด่วนรับมือปัญหา ที่บางมาตรการก็ส่งผลกระทบในวงกว้าง
มันจึงเป็นแรงเหวี่ยงทางการเมือง ที่ประชาชน โดยเฉพาะคนกรุงเทพฯ ที่เจอปัญหาฝุ่นพิษมาหลายปีติดต่อกัน ต้องไม่พอใจรัฐบาลและกรุงเทพมหานคร ในยุคชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ที่เป็นผู้ว่าฯ กทม.มาจะร่วม 3 ปี
ที่นอกจากจะเป็นผู้ว่าฯ กทม. ซึ่งไม่มีผลงานเป็นรูปธรรม ปัญหาเรื่องฝุ่นพิษ PM2.5 คน กทม.ก็รู้สึกว่าชัชชาติน่าจะมีแนวทาง-นโยบายที่รับมือกับปัญหาได้ดีกว่าที่เป็นอยู่
ดังนั้น เมื่อประชาชน-คนกรุงเทพฯ รู้สึกว่ รัฐบาลและชัชชาติสอบตกในการรับมือกับปัญหาฝุ่นพิษ PM2.5 มันจึงส่งผลในทางการเมือง ต่อรัฐบาล-พรรคเพื่อไทย-แพทองธาร นายกฯ และชัชชาติ ผู้ว่าฯ กทม. ที่แม้ตอนเลือกตั้งปี 2565 จะลงอิสระ ไม่ได้ลงในนามพรรคเพื่อไทย แต่เป็นที่รู้กันตั้งแต่ตอนเลือกตั้งจนถึงปัจจุบันว่า เพื่อไทย-ทักษิณ-ชัชชาติ มีความสัมพันธ์ทางการเมืองที่แนบแน่นกันตั้งแต่ตอนเลือกตั้งจนถึงปัจจุบัน
ยิ่งเมื่อพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล คนก็มองว่า การทำงานของรัฐบาลกลางกับผู้ว่าฯ กทม.ที่เป็นทีมเดียวกันในทางการเมือง จึงน่าจะมีการรับมือฝุ่นพิษได้ดีกว่าที่เป็นอยู่ แต่สิ่งที่เห็นกลับไม่เป็นเช่นนั้น
จนวันนี้ปัญหาฝุ่นพิษไม่ได้ส่งผลกระทบแค่กับการดำเนินชีวิตของประชาชน แต่กระทบไปถึงเรื่องเศรษฐกิจ ก็ยิ่งทำให้หลายคนเห็นตรงกันว่า รัฐบาลเพื่อไทย-กทม.ไม่มีความสามารถในการรับมือยามที่ต้องเจอกับปัญหาวิกฤตต่างๆ หรือ Crisis Management
อย่างเช่น การเปิดเผยข้อมูลจาก ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ที่ระบุว่า ฝุ่น PM2.5 ในกรุงเทพฯ ส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจไม่ต่ำกว่า 3,000 ล้านบาท
โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าผลกระทบทางเศรษฐกิจในมิติของค่าเสียโอกาส โดยเฉพาะประเด็นด้านสุขภาพของคนกรุงเทพฯ ในช่วง 1 เดือน จะอยู่ที่ไม่ต่ำกว่า 3,000 ล้านบาท เพราะทำให้เกิดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ ทั้งในมิติของการรักษาอาการเจ็บป่วย รวมถึงค่าใช้จ่ายอื่นๆ ในมิติของการดูแลป้องกันสุขภาพ เช่น หน้ากากอนามัย เครื่องฟอกอากาศ ซึ่งแม้ว่าค่าใช้จ่ายดังกล่าวจะถูกส่งผ่านไปยังภาคธุรกิจ แต่เป็นค่าเสียโอกาสที่เกิดขึ้น เพราะผู้บริโภคไม่สามารถนำเงินนี้ไปใช้จ่ายเพื่อการอื่น
เมื่อประชาชนหลายพื้นที่ได้รับผลกระทบดังกล่าวกันถ้วนหน้า จึงทำให้เกิดกระแสความไม่พอใจที่มีต่อรัฐบาลและผู้รับผิดชอบในพื้นที่ ส่งผลให้ รัฐบาล-นายกฯ นั่งไม่ติด
โดย แพทองธาร-นายกรัฐมนตรี พยายามสื่อสารกับประชาชนว่า รัฐบาลมีการเตรียมการรับมือปัญหาฝุ่นพิษมาตลอด ตั้งแต่ช่วงเดือน พ.ย.2567 เช่น การดูแลควบคุมปัญหาการเผาในพื้นที่เกษตร จนพบว่าการเผาลดน้อยลง และพยายามแก้ตัวว่า ปัญหาฝุ่นเป็นเรื่องของการสะสมมาเป็นระยะเวลานาน และปัญหานี้ไม่ใช่เป็นเรื่องวาระแห่งชาติธรรมดา แต่เป็นวาระแห่งอาเซียนที่ต้องมีการพูดคุยทำข้อตกลงกับประเทศเพื่อนบ้านด้วยเพื่อแก้ปัญหาร่วมกัน
ที่ก็คืออาการนั่งไม่ติดของนายกฯ แพทองธาร หลังรับรู้ดีว่า ปัญหานี้คนไม่พอใจรัฐบาลสูง
จึงต้องออกมาตรการเร่งด่วน เพื่อทำให้ความรู้สึกของประชาชนที่มีต่อรัฐบาลดีขึ้น โดยเฉพาะ "ขึ้นรถเมล์ รถไฟฟ้าฟรี" เป็นเวลา 7 วัน ตั้งแต่ 25-31 ม.ค. ที่ก็พบว่า ได้เสียงตอบรับจากประชาชนในระดับหนึ่ง ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมาว่า เป็นการแก้ปัญหาที่ถูกจุดและได้ผลหรือไม่?
อย่างเช่นความเห็นของ ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ อดีตรองผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ ที่ตั้งคำถามไว้หลายประเด็น เช่น จะมีคนจอดรถยนต์ส่วนบุคคลมาขึ้นรถไฟฟ้าหรือไม่? ตอบ - มี แต่น้อยมาก พูดได้ว่าไม่มีนัยสำคัญ พิสูจน์ได้โดยเปรียบเทียบปริมาณรถยนต์ส่วนบุคคลบนถนนที่มีรถไฟฟ้าวิ่ง เช่น ถนนสุขุมวิท ถนนสีลม ถนนพญาไท ถนนรัชดาภิเษก และถนนลาดพร้าว เป็นต้น ในช่วง 7 วัน ก่อนและหลังการใช้รถไฟฟ้าฟรี นั่นคือระหว่างวันที่ 18-24 มกราคม 2568 ซึ่งเป็นช่วง 7 วัน ที่ไม่ให้ใช้รถไฟฟ้าฟรี กับวันที่ 25-31 มกราคม 2568 ซึ่งเป็นช่วง 7 วัน ที่ให้ใช้รถไฟฟ้าฟรี คาดว่าปริมาณรถยนต์ส่วนบุคคลใน 2 ช่วงเวลาดังกล่าวจะไม่ต่างกันมาก ส่วนปริมาณผู้โดยสารรถไฟฟ้าในช่วงให้ใช้รถไฟฟ้าฟรีอาจจะเพิ่มขึ้น แต่ที่เพิ่มขึ้นนั้นอาจไม่ได้มาจากผู้ใช้รถยนต์ส่วนบุคคล เพราะผู้ใช้รถยนต์ส่วนบุคคลส่วนใหญ่รักความสะดวกสบาย คงไม่ยอมเปลี่ยนใจมาขึ้นรถไฟฟ้า แต่เพิ่มขึ้นจากผู้โดยสารรถเมล์ หรือนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ หรือผู้ที่ไม่เคยใช้รถไฟฟ้า หรือไม่ค่อยมีโอกาสได้ใช้รถไฟฟ้า อาจถือโอกาสนี้นั่งรถไฟฟ้าไปทำกิจกรรมต่างๆ
"เงินชดเชยให้เอกชนผู้รับสัมปทานรถไฟฟ้าช่วง 7 วัน ประมาณ 140 ล้านบาท ก็จะไม่เกิดประโยชน์ตามความประสงค์ของรัฐบาล นำเงินดังกล่าวไปใช้ในการควบคุมไม่ให้มีการเผาไหม้จะได้ผลดีกว่าทั้งหมดนี้"
แน่นอนว่า ประชาชนอยากให้รัฐบาลคลี่คลายและรับมือปัญหาฝุ่นพิษให้สำเร็จ เพราะถ้าทำได้ ประชาชนจะได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น แต่หากล้มเหลว แก้ปัญหาไม่ได้ทั้งระยะสั้นและระยะยาว มองได้ว่าย่อมมีผลต่อคะแนนนิยมที่ประชาชนมีต่อรัฐบาล
รวมถึงอาจทำให้ชัชชาติ ถ้าจะลงสมัครผู้ว่าฯ กทม.ต่อในเดือน พ.ค. ปี 2569 ความล้มเหลวในการรับมือกับปัญหาฝุ่นพิษ จะเป็นเรื่องที่ฉุดคะแนนนิยมตอนหาเสียงแน่ อีกทั้งหากปัญหาฝุ่นพิษยังเรื้อรังไปเรื่อยๆ อีกหลายปี จนไปถึงช่วงตอนเลือกตั้ง สส.รอบหน้า ความล้มเหลวของรัฐบาลเพื่อไทยในการแก้ปัญหา ย่อมส่งผลต่อการตัดสินใจของประชาชน เช่น คนกรุงเทพฯ ว่าจะเลือกเพื่อไทย ทั้งระบบเขตและปาร์ตี้ลิสต์ หรือไม่ จุดนี้น่าจะมีผลไม่มากก็น้อย.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'อนุทิน' ขี่กระแสชาตินิยม รวมบ้านใหญ่สู่รัฐบาล 4 ปี
“ประเทศไทยไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่ม แต่จำเป็นต้องปกป้องตัวเอง”, “รัฐบาลสนับสนุนการทำหน้าที่ของกองทัพอย่างเต็มที่”, “นี่เป็นเรื่องของสองประเทศ ไม่ใช่เรื่องของคนนอก” และ “การหยุดยิงจะเกิดขึ้น ก็ต่อเมื่อกัมพูชาแสดงความจริงใจ และต้องแสดงออกอย่างเป็นรูปธรรม”
ศึกชิง ‘เมืองกล้วยไข่’ ‘กล้าธรรม’ ปะทะ ‘รัตนากร’
1 ในพื้นที่เป้าหมายสำคัญของ ‘พรรคกล้าธรรม’ ภายใต้การนำของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานที่ปรึกษาพรรค และนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมว.ศึกษาธิการ ในฐานะหัวหน้าพรรค คือ จ.กำแพงเพชร
เปิดขั้นตอนหย่อนบัตร8ก.พ.69 บัตร3ใบเลือกตั้งพ่วงประชามติ
ประเทศไทยเข้าสู่ฤดูกาลการเลือกตั้งทั่วไปเพื่อเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) อย่างเป็นทางการ โดยในครั้งนี้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ไทยที่จะมีการเลือกตั้ง สส. พร้อมกับการทำประชามติหนึ่งเรื่องในวันเดียวกัน โดยกำหนดจัดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 8 ก.พ.2569 ตั้งแต่เวลา 08.00 น. ถึง 17.00 น. ตามประกาศของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)
'ภท.-ปชน.' แตกหักปม112 'พท.' ตัวแปรรอร่วมรัฐบาล
การเลือกตั้งวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 กำลังเดินหน้าเข้าสู่ช่วงโค้งสำคัญ พรรคการเมืองต่างเร่งนำเสนอนโยบาย แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี และทีมรัฐมนตรี เพื่อขอโอกาสประชาชนเข้ามาบริหารประเทศในอีก 4 ปีข้างหน้า
ภูมิใจไทยพลัส-เปิดเกมใหญ่ ชูรัฐมนตรีคนนอก ลุยเลือกตั้ง
บรรยากาศการเมืองปลายปี 2568 ต่อเนื่องต้นปี 2569 เดินหน้าเข้าสู่โหมดเลือกตั้งเต็มรูปแบบ หลังคณะกรรมการการเลือกตั้งเตรียมเปิดรับสมัคร สส.ปลายเดือนธันวาคม ก่อนจะหย่อนบัตรในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 พรรคการเมืองต่างเร่งเปิดตัวผู้สมัคร นโยบายหาเสียง และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี เพื่อช่วงชิงความได้เปรียบในช่วงโค้งสุดท้าย
‘บิ๊กป้อม’ ถอย ดัน ‘ตรีนุช’ เลือกตั้งสุดท้ายของ ‘พปชร.’
‘บิ๊กป้อม’ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ประกาศถอนตัวจากการเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค ทั้งที่อีกไม่กี่ชั่วโมงจะถึงวันรับสมัคร สส.แบบแบ่งเขต และบัญชีรายชื่อ ตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กำหนดในวันที่ 27-28 ธันวาคมนี้

