น้ำลายการเมืองแก้“ฝุ่นพิษ” โปรย“งบฯ”-ลนลานรักษาฐานเสียง

รัฐบาลถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า “ไร้น้ำยา” ในการวางแผนรับมือปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก ทั้งที่รู้ว่าสถานการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเป็นวัฏจักรรายปี ยิ่งในปัจจุบันหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถคาดการณ์ล่วงหน้าเป็นรายสัปดาห์ จากการใช้ชุดข้อมูลเทคโนโลยีตรวจวัด สถิติต่างๆ มาประมวลเพื่อเตรียมการได้อยู่แล้ว

การส่งเสียงความเดือดร้อนของ คนชั้นกลาง ที่ดังกึกก้องและมีอิทธิพลต่อรัฐบาลก็คือพื้นที่กรุงเทพมหานคร มีผู้ว่าฯ กรุงเทพฯ เป็นหัวขบวนในการสั่งการบริหารสถานการณ์อยู่ด้วยนั้น มีผลให้กลไกระดับเมืองศูนย์กลาง “ขยับ” ตามทันที

เพราะนอกจากความเดือดร้อนของประชาชนแล้ว “ดิจิทัลฟุตปรินต์” ไม่ว่าจะเป็นคลิปเมื่อตอนหาเสียง คำมั่นสัญญาที่ให้ไว้ถูกขุดออกมาประจานกันรายวัน

ส่งผลให้มาตรการขึ้นรถเมล์ฟรี รถไฟฟ้าฟรี เพื่อลดปริมาณการเผาไหม้ของรถยนต์บนท้องถนนถูกงัดออกมาใช้ เพราะเป็นดุลยพินิจตามกฎหมายที่ผู้ว่าฯ กทม.สามารถประกาศได้เลย ส่วนงบประมาณในการชดเชย รัฐบาลจะเป็นคนอนุมัติงบฯ เพื่อให้การปฏิบัติสามารถทำได้ทันที

ขณะที่ ผู้นำรัฐบาลก็ถูกมองว่ามีปฏิกิริยาต่อวิกฤตฝุ่นล่าช้ากว่าที่ควรจะเป็น อีกทั้งทิศทางในการมองภาพรวมของปัญหาขาดความถ่องแท้ อาศัยแต่กลไกปกติของหน่วยราชการจัดการแบบเดิมกับวัฏจักรของปัญหาที่เกิดขึ้นซ้ำทุกปี

จนเมื่อ “โลกโซเชียล” เดือดปุด เพราะปัญหาฝุ่นเมื่อต้นสัปดาห์หนักหนาสาหัส และยิ่งเข้าสู่โค้งสุดท้ายในการเลือกตั้งระดับท้องถิ่น พรรคร่วมรัฐบาล แกนนำพรรคการเมืองต่างก็กังวลว่าจะกระทบฐานเสียง คะแนนนิยม จึงต้องขยับตัวสั่งการแก้ปัญหาให้เป็น “วาระแห่งชาติ” ด้วยการเรียกหน่วยงานต่างๆ มาสั่งการ “ตีปี๊บ” ถึงความเอาจริงเอาจังของรัฐบาล

กระทรวง ทบวง กรม หน่วยงานภายใต้สังกัดพรรคร่วมต่างก็นำแผนงานปฏิบัติมาขยายผล เพื่อให้เห็นการรับมือกับปัญหา พร้อมนำเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในช่วงที่สถานการณ์ “ฝุ่น” พักรบ และรอกลับมาโจมตีประเทศใหม่อีกครั้ง ส่งผลให้รัฐบาลต้องเตรียมรับมือแก้ไขปัญหาฝุ่นพิษในภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคกลาง ที่มักจะเกิดขึ้นในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ล่วงหน้า เพราะฝุ่นระลอกแรกสั่นคลอนคะแนนนิยมรัฐบาลพอสมควร

การประชุม ครม.เมื่อวันก่อนรับทราบแผนการจัดการปัญหาฝุ่น PM2.5 โดยแต่ละกระทรวงจะทำแยกกันไป ได้แก่

- กระทรวงมหาดไทย สั่งการผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศให้รับมือภัยพิบัติ ออกประกาศห้ามเผา ให้มีการบริหารจัดการซังข้าวโพด ต้นอ้อยแห้ง โดยใช้วิธีการฝังกลบแทนการเผา

- กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จับมือกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในการเตรียมรับมือดับไฟป่า ปฏิบัติการเชิงรุกที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยใช้งบกลาง 680 ล้านบาท จัดสรรในการจัดจ้างบุคลากรเข้ามาดูแลพื้นที่ที่มีไฟป่า

- กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ให้ดูแลกลุ่มเปราะบางต่างๆ โดยการให้หน้ากากอนามัย N95 และห้องคลีนรูมหรือห้องปลอดเชื้อ เพื่อให้ผู้ป่วยและเด็กเล็กใช้บริการ      

- กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ต้องไม่ให้มีการเผาทุกพื้นที่การเกษตร หากพบเจอจะตัดการสนับสนุนเงินเยียวยาจากรัฐบาลตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย.68 ถึง 31 พ.ค.69 รวมถึงปฏิบัติการฝนหลวงในการลดฝุ่นละอองในอากาศ

- กระทรวงคมนาคม จากมาตรการรถเมล์และรถไฟฟ้าฟรี 7 วัน ซึ่งต้องใช้งบกลางในการชดเชย
- กระทรวงอุตสาหกรรม ขอความร่วมมือโรงงานและสมาคมชาวไร่อ้อยไม่ให้รับอ้อยที่มาจากการเผาเกิน 25% ต่อวัน เหลือเพียง 10% ต่อวัน และทุกโรงงานน้ำตาลให้ความร่วมมืออย่างดี

- กระทรวงการต่างประเทศ ได้ร่วมกับอาเซียน ทำความร่วมมือกับลาว กัมพูชา เมียนมา และกรอบความร่วมมือในประเทศภูมิภาคเอเชียและร่วมมือกับกลุ่มลุ่มแม่น้ำโขง ตามยุทธศาสตร์ฟ้าใส (Clear Sky Strategy) แผนปฏิบัติการร่วม “ไทย-ลาว-เมียนมา” ที่วางไว้ยาวถึงปี 2573

อย่างไรก็ตาม โครงสร้างการแก้ไขปัญหาทั้งหมดนั้นยึดโยงกับกลไกระดับชาติ ที่มีคณะกรรมการกำกับดูแล โดย ประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอำนวยการเพื่อการจัดการปัญหามลพิษทางอากาศ

ขณะที่ในภูมิภาคต่างๆ จะใช้กลไกระดับจังหวัด โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดพิจารณาประกาศใช้มาตรการ โดยกระทรวงกลาโหม เหล่าทัพ สนับสนุนอากาศยาน อุปกรณ์ กำลังพลเพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤตที่เกิดขึ้น

เรียกว่า ทุกมาตรการล้วนมี “ต้นทุน” งบประมาณรายปี เลยไปถึงงบกลางในการแก้ไขอย่างมหาศาล แต่ไม่ได้เป็นการแก้ไขปัญหาที่ยั่งยืน

 “ไฟ ควัน ฝุ่น อันเกิดจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปยังคงเกิดขึ้นทุกปี หากต้องถมงบฯ และต่อท่อให้กระทรวง ภายใต้การดูแลของพรรคร่วมรัฐบาล ก็คงไม่ต่างจากงบฯ ภัยพิบัติอื่นที่เกิดขึ้นตามห้วงเวลา ทั้งภัยร้อน ภัยแล้ง ภัยหนาว อุทกภัย ใช้เงินภาษีในการชดเชย บรรเทา เยียวยามหาศาล

การโฟกัสที่ต้นเหตุแห่งวิกฤตที่เกิดจากน้ำมือมนุษย์ ด้วยการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้น การวางแผนรับมืออย่างเป็นระบบแต่เนิ่นๆ โดยคำนึงถึงความเดือดร้อนและความเสียหายของประชาชนที่จะเกิดขึ้น อาจมีส่วนช่วยให้ผลกระทบเบาบางลงได้บ้าง

ถ้ารอการแก้ไขปัญหาตามกระแส หรือขึงขังในช่วงฤดูกาลหาเสียง ด้วยวิสัยทัศน์ของผู้นำฯ ที่บริหารจัดการปัญหาด้วยการนั่งล้อมวงรายงานแผน ไร้ทิศทางในการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน ประชาชนคงต้องรอสำลักฝุ่นเป็นรายปีกันต่อไป.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'อิ๊งค์' โพสต์ภาพคู่ 'ทักษิณ' สุขสันต์วันพ่อ อดทนไว้ เราจะได้ไปเที่ยวรอบโลกด้วยกัน

น.ส.แพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย โพสต์ภาพถ่ายร่วมกับนายทักษิณ ชินวัตร พร้อมระบุข้อความผ่านอินสตาแกรมว่า

จิรุตม์-มณฑลลุ้นผงาดกกต. สีน้ำเงินคุมเสียงข้างมาก7เสือ

เมื่อมีความชัดเจนทางการเมืองว่า “พรรคเพื่อไทย” จะยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ หลังการโหวตร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญวาระ 3 ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า 2569

'ภัยพิบัติการเมือง เมื่อกฎบริจาค กลายเป็นสนามแข่งพรรคใหญ่'

ในช่วงปลายปี 2568 ซึ่งประเทศไทยกำลังเผชิญกับสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างน้ำท่วมในหลายพื้นที่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ออกมาชี้แจงแนวทางการบริจาคเงินและสิ่งของเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย

พลิกเกม"น้ำท่วม"สู้ศึกเลือกตั้ง สมรภูมิการเมืองช่วงชิงชัยชนะ

แรงกดดันของสังคมที่มีต่อ "อนุทิน ชาญวีรกูล" นายกรัฐมนตรี หลังเหตุการณ์มหาอุทกภัยที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา พุ่งเป้าไปที่ความผิดพลาด บกพร่อง และล่าช้า ในการสั่งการเข้าช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจนทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก

วิกฤตน้ำท่วมทำรัฐบาลรวน อาจป่วนถึงการแก้รัฐธรรมนูญ

วิกฤตในการบริหารสถานการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ของภาคใต้ โดยเฉพาะที่หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา นอกจากความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนจำนวนมหาศาลแล้ว ยิ่งทำให้รัฐบาลสูญเสียความน่าเชื่อถือในสายตาสาธารณชน

รัฐบาลอ่อนหัด โครงสร้างล้าหลัง ฉุดเชื่อมั่น'อนุทิน-ภท.'จมดิ่งกับน้ำท่วม

วิกฤตมหาอุทกภัยถล่ม อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ศูนย์กลางเศรษฐกิจภาคใต้ สร้างความหายนะราวกับคลื่นสึนามิ ซากปรักหักพังของเมืองเสมือนวันสิ้นโลก