รุกไล่-ถอนรากถอนโคน เครือข่ายเงินสีเทา-หม่อง ชิตตู

การรุกคืบของรัฐบาลที่ ถอนรากถอนโคน เครือข่าย ธุรกิจสีเทา ตามแนวชายแดนไทย-เมียนมา โดยใช้ไม้หนักมากขึ้นนอกเหนือจาก ตัดไฟ-ตัดสัญญาณอินเทอร์เน็ต ที่โยงไปถึงฝั่งเมียนมา เป็นเรื่องน่าติดตามอย่างยิ่ง

โดยเฉพาะล่าสุดกับการเปิดศึกไล่เช็กบิล เอาผิดกับกลุ่ม กองกำลังพิทักษ์ชายแดน (Border Guard Force : BGF) ที่มี พันเอกหม่อง ชิตตู เป็นผู้นำ

กับการขยับของกระทรวงยุติธรรม-กรมสอบสวนคดีพิเศษ ที่มีการส่งตัวแทนไปคุยกับอัยการสำนักงานคดีค้ามนุษย์ สำนักงานอัยการสูงสุด เมื่อช่วงบ่ายวันอังคารที่ 11 ก.พ.ที่ผ่านมา เพื่อหารือในประเด็นข้อกฎหมายการออกหมายจับผู้ต้องหา กลุ่มกองกำลัง BGF ในความผิดเรื่องการค้ามนุษย์ ภายใต้รูปคดีที่จะเอาผิดคือ กลุ่ม BGF มีส่วนเกี่ยวข้องนำชาวอินเดียไปทำการค้ามนุษย์ บังคับทำแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่บ่อนเฮงเชง จ.เมียวดี ประเทศเมียนมา ตรงข้าม อ.แม่สอด จ.ตาก แต่ทางการไทยช่วยกลับมาได้ จึงทำให้ดีเอสไอต้องการดำเนินคดีกับขบวนการค้ามนุษย์บริเวณชายแดนไทย-เมียนมา ที่โยงถึงกลุ่ม BGF

ข่าวที่ออกมาจากดีเอสไอระบุว่า ผู้เสียหายของขบวนการดังกล่าวเป็นชาวอินเดียทั้งสิ้น 7 ราย โดยประเทศไทยถูกใช้เป็นทางผ่านคล้ายเคสของนักแสดงชายชาวจีน “ซิง ซิง” ก่อนหน้านี้ และเครือข่ายที่ร่วมกันกระทำความผิด ก็มีคนไทยเกี่ยวข้องด้วยประมาณ 2 ราย โดยมีคนไทยอยู่ในบริษัทแห่งหนึ่ง ซึ่งให้บริการจัดทำรีสอร์ตทั้งในไทย แต่ใน จ.เมียวดี มีสถานะเป็นกรรมการบริษัท และพนักงานบริษัท ดังนั้นดีเอสไอจึงต้องการดำเนินคดีและออกหมายจับเครือข่าย BGF 3 ราย ประกอบด้วย 1.พันเอกซอ ชิตตู (Colonel Saw Chit Thu) หรือพันเอกหม่อง ชิตตู 2.พันโทโมเต โธน (Lieutenant Colonel Mote Thone) และ 3.พันตรีทิน วิน Tin Win (Major Tin Win) รวมถึงยังมีในส่วนของเจ้าของบ่อนเฮงเชง

พบว่าการหารือร่วมกันระหว่างดีเอสไอกับอัยการเมื่อ 11 ก.พ.ที่ผ่านมา มีการปิดห้องคุยกันอย่างเคร่งเครียดที่สำนักงานอัยการคดีค้ามนุษย์ 1 สำนักงานอัยการสูงสุด ถนนรัชดาภิเษก ดีเอสไอส่งร้อยตำรวจเอกสุรวุฒิ รังไสย์ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พร้อมด้วยคณะทำงานได้เข้าหารือกับ ศักดา คล้ายร่มไทร อัยการพิเศษฝ่ายสำนักงานคดีค้ามนุษย์

ผลการหารือหลังใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงเต็ม ร.ต.อ.สุรวุฒิ ระบุว่า เป็นการหารือเกี่ยวกับคดีแก๊งคอลเซ็นเตอร์และขบวนการค้ามนุษย์ โดยได้ข้อแนะนำที่ดีจากอัยการ แต่ในส่วนรายละเอียดถือเป็นความลับ ไม่สามารถเปิดเผยได้ ซึ่งหลังดีเอสไอได้รับคำแนะนำจากอัยการก็จะนำไปดำเนินการตามกระบวนการขั้นตอนทางกฎหมาย ทั้งการสอบสวนเพิ่มเติมตามที่พนักงานอัยการให้คำแนะนำ ก่อนจะนำมาสู่การพิจารณาการขออำนาจศาลออกหมายจับ ส่วนคนที่ถูกดำเนินคดี จะเป็นใคร และมีความเชื่อมโยงเกี่ยวข้องอย่างไร รวมทั้งมีทั้งคนไทยหรือชาวต่างชาติหรือไม่ ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ในขณะนี้ เพราะยังถือเป็นความลับ

แน่นอนว่าเป็นเรื่องดีที่รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพิ่มดีกรีความเข้มข้นในการปราบปรามธุรกิจ-เงินสีเทา ตามแนวชายแดนไทย-เมียนมา ดังกล่าว และหลังจากนี้คาดว่า คงมีการขยายผลไปยังพื้นที่ชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ ที่เครือข่ายธุรกิจสีเทา ไปตั้งรกรากทำธุรกิจสีเทา โดยเฉพาะแก็งคอลเซ็นเตอร์-ค้ามนุษย์-พนันออนไลน์ ที่ชายแดนไทย-กัมพูชาและลาว โดยหากรัฐบาลเพิ่มยาแรงมากขึ้นในการปราบปรามเครือข่ายเงินสีเทา ย่อมเป็นเรื่องดี ทุกฝ่ายควรสนับสนุนเพื่อให้ปัญหาคอลเซ็นเตอร์-ค้ามนุษย์ และธุรกิจเงินสีเทาต่างๆ บริเวณชายแดนไทยกับเพื่อนบ้านลดน้อยลง

ขณะเดียวกัน ในเชิงการเมืองมีการมองกันว่า การที่รัฐบาลโหมหนักเรื่องนี้ จุดหนึ่งแกนนำรัฐบาลเพื่อไทยคงประเมินแล้วว่า ฝ่ายค้านอาจจะมีการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลและรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องในเรื่องปัญหาธุรกิจสีเทา บริเวณชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน ทำนองว่า ล้มเหลวในการป้องกันและปราบปราม ไม่สามารถสาวไปถึงเครือข่ายเบื้องหลังธุรกิจสีเทาได้ ดังนั้นรัฐบาลก็เลยเร่งสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งสอบสวนดำเนินคดีกับเครือข่ายธุรกิจสีเทาตามแนวชายแดน เพื่อว่าหากฝ่ายค้านอภิปรายเรื่องนี้ในสภาฯ ตัวนายกฯ หรือรัฐมนตรีที่ถูกซักฟอกประเด็นนี้จะได้ลุกขึ้นชี้แจง โต้ฝ่ายค้านได้ว่า รัฐบาลเอาจริงเอาจังกับการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ อาชญากรรมข้ามชาติ และทุนสีเทา โดยยกสถิติการจับกุมต่างๆ มาสวนฝ่ายค้าน รวมถึงการยกเรื่องมีการดำเนินคดีกับกลุ่มเครือข่ายที่อยู่เบื้องหลังธุรกิจสีเทาตามแนวชายแดน อย่างกลุ่ม BGF หม่อง ชิตตู มาแสดงต่อที่ประชุมสภาฯ ซึ่งจะทำให้การอภิปรายของฝ่ายค้านที่จะอภิปรายโจมตีรัฐบาลเรื่องนี้ น้ำหนักจะลดลงไปได้

จุดนี้คือสิ่งที่คนการเมือง มองการรุกหนักของรัฐบาลในการขยายผลปราบปรามเครือข่ายธุรกิจสีเทา ที่ตอนนี้รุกไล่ไปถึงกลุ่มกองกำลังต่างชาติบริเวณชายแดนไทย-เมียนมา อย่างกลุ่มหม่อง ชิตตู  

ก็ขนาดฝ่ายค้านยังออกปากชมการที่ดีเอสไอจะดำเนินคดีกับพันเอกหม่อง ชิตตู อย่าง ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน-ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ระบุว่า ต้องขอบคุณทางรัฐบาล การที่มีการออกหมายจับจะเป็นเกราะป้องกันไม่ให้เจ้าหน้าที่รัฐของไทยเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง การจับกุมตัวหม่อง ชิตตู เป็นเรื่องที่ต้องดำเนินการ

ส่วน รังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะประธาน กมธ.ความมั่นคงแห่งรัฐ สภาผู้แทนราษฎร ที่เกาะติด-ติดตามเรื่องนี้มาหลายปี และเป็นคนแรกๆ ที่ออกมาพูดเรื่องธุรกิจสีเทาที่โยงถึง หม่อง ชิตตู ในพื้นที่สาธารณะทางการเมือง  โดยเขามองการขยับของรัฐบาลในประเด็นนี้ว่า หม่อง ชิตตู เป็นกลไกสำคัญในอาชญากรรมข้ามชาติเหล่านี้ เนื่องจากมีทั้งไทยเทา พม่าเทา ไปรับส่วย ไปเกี่ยวข้องเยอะมาก เรื่องการออกหมายจับจะนำไปสู่การจับกุมจริงได้หรือไม่ อยู่ที่ความสามารถของกลไกต่างๆ.... อย่างน้อยมันคือการป้องปรามไม่ให้ไทยเทาไปคุยกับหม่อง ชิตตู ถือว่ามาถูกทาง แต่ก็ต้องเร่งสปีดให้เร็วขึ้น เพราะหม่อง ชิตตู เป็นระดับเฮดเลย ถือว่าถูกตัว เป็นใจกลางสำคัญของเรื่องนี้

ปฏิบัติการรุกคืบ ไล่เช็กบิลเพื่อหวังถอนรากถอนโคนเครือข่ายธุรกิจสีเทาที่อยู่บริเวณแนวชายแดนไทย-เมียนมาดังกล่าว สุดท้ายในทางปฏิบัติจะทำได้จริงหรือไม่ และทำให้เครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์-ค้ามนุษย์ ที่เป็นอาชญากรรมข้ามชาติ ถูกกวาดล้างปราบปรามจนหมดไปหรือไม่ เรื่องนี้คืออีกหนึ่งบททดสอบการทำงานของรัฐบาลแพทองธาร ว่าจะทำงานใหญ่ๆ ได้สำเร็จลุล่วงหรือไม่?.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

จิรุตม์-มณฑลลุ้นผงาดกกต. สีน้ำเงินคุมเสียงข้างมาก7เสือ

เมื่อมีความชัดเจนทางการเมืองว่า “พรรคเพื่อไทย” จะยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ หลังการโหวตร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญวาระ 3 ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า 2569

'ภัยพิบัติการเมือง เมื่อกฎบริจาค กลายเป็นสนามแข่งพรรคใหญ่'

ในช่วงปลายปี 2568 ซึ่งประเทศไทยกำลังเผชิญกับสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างน้ำท่วมในหลายพื้นที่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ออกมาชี้แจงแนวทางการบริจาคเงินและสิ่งของเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย

พลิกเกม"น้ำท่วม"สู้ศึกเลือกตั้ง สมรภูมิการเมืองช่วงชิงชัยชนะ

แรงกดดันของสังคมที่มีต่อ "อนุทิน ชาญวีรกูล" นายกรัฐมนตรี หลังเหตุการณ์มหาอุทกภัยที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา พุ่งเป้าไปที่ความผิดพลาด บกพร่อง และล่าช้า ในการสั่งการเข้าช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจนทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก

วิกฤตน้ำท่วมทำรัฐบาลรวน อาจป่วนถึงการแก้รัฐธรรมนูญ

วิกฤตในการบริหารสถานการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ของภาคใต้ โดยเฉพาะที่หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา นอกจากความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนจำนวนมหาศาลแล้ว ยิ่งทำให้รัฐบาลสูญเสียความน่าเชื่อถือในสายตาสาธารณชน

รัฐบาลอ่อนหัด โครงสร้างล้าหลัง ฉุดเชื่อมั่น'อนุทิน-ภท.'จมดิ่งกับน้ำท่วม

วิกฤตมหาอุทกภัยถล่ม อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ศูนย์กลางเศรษฐกิจภาคใต้ สร้างความหายนะราวกับคลื่นสึนามิ ซากปรักหักพังของเมืองเสมือนวันสิ้นโลก

ปี69เดือด!เลือกตั้งทุกระดับ 'กกต.-ประชาชน'ตัดสินอนาคต

ปี 2569 กลายเป็นปีที่ท้าทายที่สุดสำหรับประชาธิปไตยไทย ด้วยการเลือกตั้งหลายระดับที่กระชั้นชิดกันอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ที่คาดว่าจะพ่วงด้วยการลงประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ และบันทึกความเข้าใจ (MOU)