แค่เริ่มปีงบประมาณ 2569 พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ก็เกิดเหตุระทึกขวัญปล้นร้านทองในห้างใหญ่บิ๊กซี สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส โดยกองกำลังชุดดำอาวุธครบมือก่อเหตุอย่างอุกอาจ มีการวางแผนเป็นอย่างดี กำหนดเส้นทางหนี เลี้ยวเลาะให้พ้นจุดตรวจ ปลายทางคือการข้ามแดนออกนอกประเทศ ด้วยเส้นทางธรรมชาติ ซึ่งวิธีการไม่ได้แหวกแนว หรือแตกต่างจากเมื่อก่อน เพียงแต่ใช้ช่องว่างของเจ้าหน้าที่รัฐเป็นจังหวะของการเข้ากระทำ
แต่มูลค่าทองคำซึ่งผู้ก่อเหตุนำไปได้มีมูลค่ามากกว่า 35 ล้านบาท คิดเป็นทองคำหนัก 600 บาท ความเสียหายของผู้ประกอบการนับว่ามหาศาล และส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในพื้นที่เศรษฐกิจ
จากสถิติที่ผ่านมาผู้ก่อเหตุมักจะเกิดขึ้นช่วงที่กองทัพภาคที่ 4 ปรับเปลี่ยนตัวผู้บังคับบัญชาอยู่บ่อยครั้ง แต่ครั้งนี้มีความพิเศษตรงที่กองทัพบกส่งคนนอกพื้นที่ลงเป็นแม่ทัพภาคที่ 4 ทำหน้าที่ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (ผอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า) มีอำนาจสูงสุดในการควบคุม สั่งการ ประสานงาน พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ นั่นก็คือ พล.ท.นรธิป โพยนอก ซึ่งมาจากกองทัพภาคที่ 2 เป็นไปตามแนวทางของ พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก ที่ต้องการแก้ไขการบริหารจัดการภายในหน่วย
ขณะที่กำลังในพื้นที่มีการปรับเปลี่ยนบางหน่วยเฉพาะกิจ โดย ฉก.ยะลา จัดกำลังจาก กองพลทหารราบที่ 5, ฉก.ปัตตานี จัดกำลังจากกองพลทหารราบที่ 15, ฉก.นราธิวาส จัดกำลังจากกองทัพภาคที่ 1, ฉก.สงขลา กำลังจาก มทบ.42
โดยครั้งนี้กองทัพภาคที่ 1 ส่ง พล.ต.ยอดอาวุธ พึ่งพักตร์ รองแม่ทัพภาคที่ 1 ลงไปเป็น ผบ.ฉก.นราธิวาสแทน พร้อมจัดกำลังจากส่วนกลาง 1 กองพันทหารราบเข้าไปแทนที่ จัดจากกองพลทหารราบที่ 11, กองพลทหารราบที่ 9 และมณฑลทหารบกที่ 11 ขณะที่ พล.ร.5 ทำภารกิจของกองกำลังป้องกันชายแดนอย่างเต็มที่
ขณะที่กองกำลังทหารพรานยังคงมุ่งเน้นงาน “สายแข็ง” โดยจังหวัดปัตตานีควบคุมพื้นที่เกือบทุกอำเภอ ยกเว้น อ.ยะรัง พร้อมทั้งทหารพรานที่มาจากกองทัพภาคที่ 2 ภายใต้ ฉก.ทพ.22 และตำรวจใน ฉก.ปัตตานี 92 ควบคุม อ.เมืองปัตตานี
พื้นที่จังหวัดยะลาจัดทหารพรานควบคุมพื้นที่ อ.ยะหา อ.กาบัง อ.กรงปินัง อ.รามัน ส่วนทหารพรานที่จัดมาจากกองทัพภาคที่ 3 คือ ฉก.ทพ.33 ควบคุมพื้นที่ อ.บันนังสตา ส่วนในเมืองเป็นส่วนรับผิดชอบของ ฉก.ตำรวจ ยะลา 91 และ อ.เบตง กับบางส่วนของ อ.ธารโต มอบให้ ฉก.ตชด.44 รับผิดชอบ
พื้นที่จังหวัดนราธิวาสมีหน่วยทหารพราน และหน่วยนาวิกโยธิน ที่เคยดูแลนราธิวาสมาแต่เดิม ได้แก่ อ.บาเจาะ อ.ยี่งอ อ.ตากใบ และ อ.สุไหงโก-ลก ส่วน อ.เมืองนราธิวาส มอบให้ ฉก.ตำรวจนราธิวาส 93 ควบคุมพื้นที่
จึงไม่แปลกถ้าจะมีการวิเคราะห์ว่าเป้าหมายของผู้ก่อเหตุต้องการ “ลองของ” ผู้ที่ลงมาแก้ไขในพื้นที่ชุดใหม่ ซึ่งเป็นสูตรเดิมที่กองทัพบกเคยใช้มาก่อนช่วงปี 2560 และค่อยปรับกำลังมาใช้กำลังพลในพื้นที่ และกองกำลังประจำถิ่น เพิ่มขีดความสามารถของอาสาสมัครรักษาดินแดนประจำจุดตรวจเป็นหลัก
แม้ พล.ท.นรธิปเคยมาทำหน้าที่ยัง ฉก.ปัตตานี ตอนที่กองทัพภาคที่ 2 จัดกำลังลงมา หรือ พล.ต.ยอดอาวุธที่เคยลงมาช่วงที่ไฟใต้กำลังคุโชนหลังปี 2547 โดยช่วงนั้น ร.31 รอ. ซึ่งนำโดย พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ เคยนำกำลังหน่วยลงพื้นที่ จ.นราธิวาส มาก่อนก็ตาม
สำหรับความชัดเจนด้านนโยบาย พล.อ.พนา ผบ.ทบ. ซึ่งทำหน้าที่รอง ผอ.รมน. กล่าวในการประชุมหน่วยขึ้นตรง กอ.รมน. (วาระพิเศษ) และการปฐมนิเทศผู้บริหารประจำปีงบประมาณ 2569 ถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยระบุว่า
"ต้องริเริ่มและพัฒนากลยุทธ์ใหม่ที่ไม่ก่อให้เกิดผลกระทบซ้ำเติมปัญหาเดิม งานข่าวกรองต้องแม่นยำ ทันเวลา และสร้างความร่วมมือจากภาคประชาชน การดำเนินการต้องยึดถือความปลอดภัยของประชาชนเป็นสำคัญ ปฏิบัติตามกรอบกฎหมายอย่างเคร่งครัด การประสานงานระหว่างหน่วยราชการต้องมีเอกภาพ เพิ่มบทบาทให้สำนักอำนวยการ กอ.รมน.เข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น"
ซึ่งต้องยอมรับว่างานการข่าวมีความสำคัญมาก และมีวงเงินงบประมาณที่สนับสนุนงานด้านนี้ค่อนข้างสูง ในสมัยที่ พล.ท.ไพศาล หนูสังข์ ดำรงตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 4 ก็ได้รวมศูนย์งานการข่าวไว้ที่ตนเอง ซึ่งการข่าวที่ผ่านมาเป็นฐานข้อมูลที่ไม่ชัดเจนเท่าไหร่นัก เนื่องจากโจทย์หลักที่กองทัพต้องการได้คือ การเคลื่อนไหวและแผนปฏิบัติของกองกำลังผู้ก่อเหตุรุนแรง ซึ่ง พล.อ.พนาพยายามปรับแก้จุดอ่อน แต่ก็ยังติดปัญหาหลายประการ
ขณะที่การปรับกำลังในโครงสร้าง ฉก.บางจังหวัด อาจถูกมองว่าเป็น “เหล้าใหม่ในขวดเก่า” เพราะมีหน่วยปกติดูแลพื้นที่อยู่แล้ว ส่วน ฉก.ที่ตั้งขึ้นมา มีเป้าหมายรับภารกิจป้องกัน ยับยั้งความรุนแรง ควบคุมสถานการณ์ ซึ่งไม่สอดคล้องกับยุทธวิธีขบวนการที่เป็นเซลล์ย่อย ถ้ายิ่งมีกองบัญชาการมากขึ้นในพื้นที่ ลำดับขั้นการสั่งการก็มากขึ้น ไม่สามารถตอบโต้สถานการณ์ปัจจุบัน ที่มีการก่อเหตุอย่างรวดเร็ว วางแผนหลบหนีอย่างรวดเร็วหรือไม่ แต่สูตรทดสอบครั้งนี้จะได้ผลหรือไม่ต้องได้รับการทดสอบในไม่ช้า
แต่ก็มีการมองว่า สายการบังคับบัญชาแบบหน่วยเฉพาะกิจ ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้เบ็ดเสร็จ เพียงแต่เป็นเครื่องมือในการใช้ควบคุมสถานการณ์ให้คงที่ เพื่อไม่ให้รุนแรงไปกว่าที่เป็นอยู่ ที่ผ่านมา กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ไม่สามารถลดขีดความสามารถของขบวนการได้ และต้องตกเป็นฝ่ายตั้งรับมาตลอด การข่าวยังเดินตามกลุ่มก่อเหตุ จึงถึงเวลาต้องยกเครื่องขนานใหญ่ ทำงานข่าวกรองจริงจัง ในการหาแหล่งข่าว เชื่อมโยงข้อมูล พร้อมทั้งวิเคราะห์ ไม่ปล่อยให้กองทัพภาคที่ 4 กุมอำนาจ
ปัจจุบันโมเมนตั้มของสถานการณ์ โฟกัสไปที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ขณะที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ยังอยู่ในลำดับถัดไป รัฐบาลและกองทัพทุกยุคยังพยายามหาวิธีการจัดการปัญหาให้เกิดความเบ็ดเสร็จเด็ดขาด แต่ความสลับซับซ้อนของปัญหาที่มากกว่าชายแดนด้านตะวันออก
จึงต้องรอดูสูตรการปรับ ฉก.และการข่าว ที่เริ่มนับหนึ่งในปีงบฯ นี้ว่าจะมีผลลัพธ์อย่างไรต่อไป.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
จิรุตม์-มณฑลลุ้นผงาดกกต. สีน้ำเงินคุมเสียงข้างมาก7เสือ
เมื่อมีความชัดเจนทางการเมืองว่า “พรรคเพื่อไทย” จะยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ หลังการโหวตร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญวาระ 3 ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า 2569
'ภัยพิบัติการเมือง เมื่อกฎบริจาค กลายเป็นสนามแข่งพรรคใหญ่'
ในช่วงปลายปี 2568 ซึ่งประเทศไทยกำลังเผชิญกับสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างน้ำท่วมในหลายพื้นที่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ออกมาชี้แจงแนวทางการบริจาคเงินและสิ่งของเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย
พลิกเกม"น้ำท่วม"สู้ศึกเลือกตั้ง สมรภูมิการเมืองช่วงชิงชัยชนะ
แรงกดดันของสังคมที่มีต่อ "อนุทิน ชาญวีรกูล" นายกรัฐมนตรี หลังเหตุการณ์มหาอุทกภัยที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา พุ่งเป้าไปที่ความผิดพลาด บกพร่อง และล่าช้า ในการสั่งการเข้าช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจนทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก
'มทภ.4' ระดม 400 นาย เร่งฟื้นฟู 'รพ.หาดใหญ่' ให้เสร็จวันนี้
'มทภ.4' กำชับทุกหน่วย-ทส. ระดมกำลังกว่า 400 นาย เร่งฟื้นฟูโรงพยาบาลหาดใหญ่ ปรับสภาพผิวจราจรโดยรอบให้เสร็จวันนี้ พร้อมลุยต่อถนนเส้นหลัก เปิดการจราจรให้ประชาชน ก่อนบิ๊กคลีนนิ่งเมืองทั้งหมด
วิกฤตน้ำท่วมทำรัฐบาลรวน อาจป่วนถึงการแก้รัฐธรรมนูญ
วิกฤตในการบริหารสถานการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ของภาคใต้ โดยเฉพาะที่หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา นอกจากความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนจำนวนมหาศาลแล้ว ยิ่งทำให้รัฐบาลสูญเสียความน่าเชื่อถือในสายตาสาธารณชน
รัฐบาลอ่อนหัด โครงสร้างล้าหลัง ฉุดเชื่อมั่น'อนุทิน-ภท.'จมดิ่งกับน้ำท่วม
วิกฤตมหาอุทกภัยถล่ม อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ศูนย์กลางเศรษฐกิจภาคใต้ สร้างความหายนะราวกับคลื่นสึนามิ ซากปรักหักพังของเมืองเสมือนวันสิ้นโลก


