โหวตแก้รธน.ดันคลอดสสร. ขยับตามจังหวะ เดินหน้ายุบสภา สว.สีน้ำเงินรอสัญญาณสุดท้าย

สัปดาห์หน้านี้ คือช่วงวันที่ 14-15 ต.ค. ที่ประชุมร่วมรัฐสภาจะมีการประชุมเพื่อพิจารณา ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเพิ่มเติมมาตรา 256 แก้ไขเพิ่มเติมหมวด 15/1

ซึ่งเป็นการแก้ไข รธน.เพื่อเปิดประตูไปสู่การ ยกร่าง รธน.ฉบับใหม่ โดยให้มีสมาชิกสภาร่าง รธน. หรือ ส.ส.ร. หรือกรรมาธิการยกร่าง รธน.มาทำการยกร่าง รธน.ฉบับใหม่แทน รธน.ฉบับปัจจุบัน 2560

ที่เป็นการพิจารณาร่างแก้ไข รธน.ที่สามพรรคการเมืองเสนอร่างต่อรัฐสภาคือ พรรคภูมิใจไทย (ภท.) พรรคประชาชน (ปชน.) และพรรคเพื่อไทย (พท.) โดยเป็นการพิจารณาวาระแรกขั้นรับหลักการ

ร่างแก้ไข รธน.ที่จะผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาต้องมีคะแนนเสียงเห็นชอบไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดของทั้งสองสภา โดยต้องมี สว.เห็นชอบด้วยไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามของจำนวน สว.ที่ปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งก็คือ 67 เสียง หากร่างแก้ไข รธน.ของพรรคการเมืองใดในสามฉบับได้เสียงไม่ถึงเกณฑ์ดังกล่าว ก็ไม่ผ่านรัฐสภาวาระแรก

สำหรับการประชุมร่วมรัฐสภาเพื่อพิจารณาร่างแก้ไข รธน.วาระแรกขั้นรับหลักการดังกล่าว ผลการประชุมวิปสามฝ่ายคือ รัฐบาล ฝ่ายค้าน และสมาชิกวุฒิสภา เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้ข้อยุติว่า ที่ประชุมร่วมรัฐสภาจะพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งสามฉบับรวมกัน แต่การลงมติของสมาชิกรัฐสภาในวาระที่ 1 จะแยกกันลงมติทีละฉบับ คือลงมติว่าจะเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบโดยโหวตแยกกัน ที่ก็หมายถึง อาจจะมีร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญบางฉบับผ่านวาระแรกไปได้ สามารถไปต่อในวาระสองและวาระสาม แต่บางฉบับอาจจะไม่ผ่านวาระแรก โดนตีตก หรืออาจจะผ่านทั้งสามร่าง หากเสียงโหวตรับหลักการวาระแรกเข้าหลักเกณฑ์ตามรัฐธรรมนูญ

โดยมีตัวแปรสำคัญก็คือ เสียงโหวตของ สว. ที่ต้องเห็นชอบให้ผ่านวาระแรกขั้นรับหลักการไม่น้อยกว่า 67 เสียง เพราะเมื่อทั้งสามพรรคการเมืองคือ เพื่อไทย ประชาชน ภูมิใจไทย ต่างก็เสนอร่างแก้ไข รธน.เข้าสู่รัฐสภา ทำให้ในส่วนของสภาไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เพราะเรื่องการแก้ไข รธน.-การทำประชามติ เป็นหนึ่งในเงื่อนไขสำคัญทางการเมืองที่อนุทิน ชาญวีรกูล นายกฯ ทำกับ "พรรคประชาชน”

ทำให้พรรคภูมิใจไทยที่แม้ก่อนหน้านี้ไม่ได้มีท่าทีเห็นด้วยหรือสนับสนุนการแก้ไข รธน.เพื่อนำไปสู่การร่าง รธน.ฉบับใหม่ ก็เจอไฟต์บังคับต้องเสนอร่างแก้ไข รธน.ประกบเข้ารัฐสภา และไม่แน่อาจต้องโหวตเห็นชอบร่างแก้ไข รธน.ของพรรคประชาชนด้วย เพื่อเป็นการพิสูจน์ความจริงใจในการแก้ไข รธน.ของอนุทินและพรรคภูมิใจไทยให้พรรคประชาชนเห็น

แม้จะพบว่า ร่างแก้ไข รธน.ของภูมิใจไทยกับพรรคประชาชน ทั้งเรื่องที่มาของ ส.ส.ร. หรือแนวคิดในการยกร่าง รธน.ฉบับใหม่ จะแตกต่างกันค่อนข้างมาก

ยกตัวอย่าง ร่างแก้ไข รธน.ของพรรคภูมิใจไทย เขียนล็อกไว้ว่า ในการร่าง รธน.ฉบับใหม่ ไม่ให้เปลี่ยนแปลงแก้ไข รธน.ฉบับปัจจุบันในหมวด 1 และหมวด 2 แต่ร่างของพรรคประชาชนไม่มีการเขียนล็อกเอาไว้ และแนวทางดังกล่าวก็แย้งกับของพรรคประชาชนที่เห็นว่าไม่ควรเขียนปิดล็อกไว้ เพราะเมื่อมีการยกร่าง รธน.ฉบับใหม่ ก็ต้องเปิดกว้างให้ ส.ส.ร.ไปพิจารณาได้เอง หรือเรื่องที่มาของผู้ยกร่าง รธน.ฉบับใหม่ ในส่วนของภูมิใจไทยไม่มีการเขียนให้มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน เพราะต้องการให้เป็นไปตามความเห็นของศาลรัฐธรรมนูญ ที่เห็นว่าผู้ยกร่าง รธน.ไม่ควรมาจากการเลือกตั้งของประชาชน เลยเขียนไว้ให้คนที่สนใจ-ต้องการจะเข้าไปเป็น ส.ส.ร.ไปสมัครในจังหวัดต่างๆ แล้วส่งชื่อมาให้รัฐสภาคัดเลือกโหวตให้เหลือจังหวัดละ 1 คน รวมเป็น 77 คน และอีกกลุ่มหนึ่งให้มาจากกลุ่มผู้เชี่ยวชาญหรือผู้มีประสบการณ์ 22 คน แบ่งเป็นสาขาต่างๆ รวมทั้งสิ้นให้มี ส.ส.ร.รวม 99 คน แล้วก็ให้มี กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ จำนวน 45 คน โดยมาจากการเลือกกันเองของ ส.ส.ร. จำนวน 30 คน และอีก 15 คนมาจากการแต่งตั้งบุคคลที่ไม่ได้เป็น ส.ส.ร. แต่ต้องคำนึงถึงความรู้ ความสามารถ ความเชี่ยวชาญในการทำหน้าที่

ขณะที่ ร่างแก้ไข รธน.ของพรรคประชาชน ให้มี 2 กลไกคู่ขนานในการยกร่างและจัดทำ รธน.ฉบับใหม่ แยกเป็น

กลไกแรกคือ คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) จำนวน 35 คน ทำหน้าที่ยกร่างรัฐธรรมนูญ มีที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน จำนวน 70 คน โดยใช้ระบบบัญชีรายชื่อที่ให้ผู้สมัครสมัครเป็นทีม และใช้เขตประเทศเป็นเขตเลือกตั้ง จากนั้นรัฐสภาคัดเลือก 35 คน แบ่งสัดส่วนตาม สส. สว. และพรรคการเมือง เท่ากับว่าหากสมาชิกรัฐสภามีทั้งหมด 700 คน สมาชิกรัฐสภา 20 คน มีสิทธิรวมตัวกันเพื่อเสนอชื่อ กมธ.ยกร่าง 1 คน

กลไกที่สองคือ สภาที่ปรึกษาการยกร่างรัฐธรรมนูญ จำนวน 100 คน ทำหน้าที่รับฟังความเห็นประชาชน และสะท้อนความเห็นต่อ กมธ.ยกร่างฯ โดยทั้ง 100 คนมีที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ใช้ระบบแบ่งเขต ที่ให้ผู้สมัครสมัครเป็นรายบุคคล และใช้จังหวัดเป็นเขตเลือกตั้งจังหวัดละ 1-5 คน ตามจำนวนประชากร

ที่ก็จะเห็นได้ว่า ร่างแก้ไข รธน.ของพรรคประชาชนยังคงให้ประชาชนได้เลือกตั้งทั้งคณะกรรมาธิการยกร่าง รธน.และสมาชิกสภาที่ปรึกษาการยกร่าง รธน. เพียงแต่ว่าในส่วนของคณะกรรมาธิการยกร่าง รธน. เมื่อได้ชื่อมาแล้ว 70 คนจากการเลือกตั้งของประชาชนทั่วประเทศ ยังต้องให้รัฐสภาโหวตคัดเลือกให้เหลือ 35 คน ที่ก็คือการเดินทางอ้อม เพื่อให้เป็นไปตามแนวที่ศาล รธน.วางไว้ จะได้ไม่เกิดปัญหาภายหลัง แต่บางฝ่ายมองว่า หากรัฐสภาเอาด้วยกับแนวทางนี้ ก็อาจมีปัญหาโดนร้องไปที่ศาล รธน.อีก เพราะก่อนที่รัฐสภาจะจิ้มเลือกเหลือ 35 คน ชื่อที่ส่งมา 70 คน ก็มาจากการเลือกตั้งของประชาชนก่อนแล้ว แม้ต่อมาจะมีการส่งชื่อให้รัฐสภาคัดเลือกก็ตาม 

ส่วน ร่างแก้ไข รธน.ฉบับพรรคเพื่อไทย เขียนโมเดลที่มาของ ส.ส.ร.ไว้ให้มาจากสองส่วน

ส่วนที่ 1 จำนวน 100 คน โดยรัฐสภาเป็นผู้เลือกจากที่ประชาชนไปออกเสียงเลือกมาทั้งหมด 300 คน โดยยึดตามสัดส่วนประชากรของแต่ละจังหวัด และจะต้องมี ส.ส.ร.อย่างน้อยจังหวัดละ 1 คน และส่วนที่ 2 จำนวน 51 คน มาจากองค์กรวิชาชีพ สภาท้องถิ่น สภานิสิตนักศึกษา และอื่นๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน ที่ก็คือให้มี ส.ส.ร. 151 คน มีหน้าที่จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และสามารถตั้งคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญได้ และเมื่อยกร่าง รธน.เสร็จต้องส่งร่างกลับมาให้รัฐสภาพิจารณาโหวตว่าจะให้ความเห็นชอบหรือไม่ให้ความเห็นชอบร่าง รธน.ฉบับใหม่

ซึ่งก็จะพบว่า ร่างแก้ไข รธน.ทั้งของภูมิใจไทย ประชาชน และเพื่อไทย ต่างก็เขียนเหมือนกันคือ เมื่อมีการยกร่าง รธน.เสร็จต้องส่งร่างมาให้รัฐสภาโหวตว่าจะเห็นชอบหรือไม่ให้ความเห็นชอบ โดยหากเห็นชอบก็ส่งไปทำประชามติต่อไป

ส่วนว่าร่างแก้ไข รธน.ทั้งสามร่างจะผ่านวาระแรกไปได้พร้อมกันหมด หรือว่าจะผ่านแค่บางฉบับ โดยบางฉบับไม่ได้ไปต่อ ต้องรอผลการโหวตในวันพุธที่ 15 ต.ค.นี้

ซึ่งหากมีร่างแก้ไข รธน.ผ่านวาระแรกไปได้ ก็จะมีการตั้ง คณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อพิจารณาในวาระ 2 และ 3 จำนวน 42 คน

และอย่างที่รู้กันดีว่า กลุ่มอำนาจหลักในสภาสูง-วุฒิสภา ก็คือ "สว.สีน้ำเงิน” ที่มีเสียง สว.เกาะกลุ่มกันอยู่ประมาณ 120-130 คน ซึ่งถือเป็นตัวแปรสำคัญในการชี้ขาดว่าร่างแก้ไข รธน.จะผ่านวาระแรกขั้นรับหลักการหรือไม่ และหากผ่านไปได้ จะผ่านหมดทั้งสามร่าง หรือจะผ่านแค่บางฉบับ ซึ่งหากดูจากคอนเนกชัน-ความสัมพันธ์การเมือง

ส่งผลทำให้มีการมองกันว่า แนวโน้มร่างแก้ไข รธน.ของพรรคภูมิใจไทยมีโอกาสมากที่จะผ่านรัฐสภาวาระแรก หากมีการส่งสัญญาณการเมืองจากซอยรางน้ำไปยัง สว.สีน้ำเงินให้โหวตผ่านร่างแก้ไข รธน.ของภูมิใจไทย เพื่อรักษาบรรยากาศทางการเมืองระหว่างภูมิใจไทย-อนุทิน กับพรรคประชาชน แต่ว่าในส่วนของร่างแก้ไข รธน.ของเพื่อไทยกับพรรคประชาชน ต้องไปลุ้นอีกว่าจะมีสัญญาณจากซอยรางน้ำไปยัง สว.สีน้ำเงินให้ดันผ่านในวาระแรก ควบคู่ไปกับร่างของภูมิใจไทยด้วยหรือไม่ โดยหากไม่มีสัญญาณมา ก็ทำให้ต้องลุ้นกันว่าร่างของเพื่อไทย-ประชาชน จะผ่านหรือถูกตีตกในวาระแรก เพราะหาก สว.สีน้ำเงินไม่ช่วยโหวตดันให้ ก็มีโอกาสที่ร่างแก้ไข รธน.ของเพื่อไทยกับประชาชนอาจไม่ได้ไปต่อ

ท่าทีของแกนนำ สว.สีน้ำเงินบางคนก็เริ่มส่งสัญญาณชัดว่า ร่างของพรรคภูมิใจไทยอาจจะผ่านวาระแรกไปได้ แต่ร่างของเพื่อไทยกับประชาชนยังไม่ชัดว่าจะเอายังไง คงต้องลุ้นกันอีกที อย่าง วุฒิชาติ กัลยาณมิตร แกนนำ สว.สีน้ำเงิน เลขานุการวิปวุฒิสภา แสดงท่าทีในเรื่องนี้ไว้ว่า “สว.เราเห็นด้วยว่ารัฐธรรมนูญบางมาตราที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาทางการเมือง เรายินดี แต่ สว.ส่วนใหญ่ 80-90 เปอร์เซ็นต์ มีความเห็นตรงกัน คือไม่เห็นด้วยกับการแตะต้องหมวด 1 และหมวด 2 ซึ่ง สว.ไม่เอาด้วยแน่นอน ส่วนเรื่องที่มาของ สว. ก็ต้องปฏิบัติตามความเห็นของศาล รธน. คือประชาชนไม่สามารถเลือกผู้ยกร่าง รธน.ได้โดยตรง ซึ่งเท่าที่ดูคงไม่เป็นประเด็นปัญหาทั้งสามร่าง ส่วนรายละเอียดค่อยไปว่ากัน”

รอติดตามการประชุมร่วมรัฐสภา 14-15 ต.ค. ว่าที่ประชุมร่วมรัฐสภาจะมีการอภิปรายเรื่องการแก้ไข รธน.อย่างไร และร่างแก้ไข รธน.ทั้งสามฉบับของสามพรรคการเมือง จะผ่านวาระแรกขั้นรับหลักการจากที่ประชุมรัฐสภาหรือไม่ หรือว่าจะผ่านแค่บางฉบับ

ประเด็นการแก้ไข รธน.คืออีกหนึ่งบทพิสูจน์ความจริงใจของรัฐบาลอนุทินกับพรรคประชาชน ว่าจะเดินตามข้อตกลงการเมืองที่เคยตกลงกันไว้ตอนศึกชิงเก้าอี้นายกฯ เมื่อช่วงต้นเดือน ก.ย.ที่ผ่านมาหรือไม่?.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

จิรุตม์-มณฑลลุ้นผงาดกกต. สีน้ำเงินคุมเสียงข้างมาก7เสือ

เมื่อมีความชัดเจนทางการเมืองว่า “พรรคเพื่อไทย” จะยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ หลังการโหวตร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญวาระ 3 ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า 2569

'อนุทิน' ยันไม่มีดีลเพื่อไทยชะลอยื่นซักฟอกรัฐบาล

"อนุทิน" ลั่นเตรียมทุกอย่างให้พร้อมรอเลือกตั้ง ยังไม่บอกพร้อมจับมือหลังลต.กับพรรคใด ไม่กังวลกระแสตกห่วงแต่แก้ปัญหาน้ำท่วมได้ไม่ทันใจ

มีคำตอบ! รัฐบาลอนุทินมี ‘ศุภจี‘ เป็นจุดเด่น ทำไมปล่อยให้มี ’ธรรมนัส’ เป็นจุดอ่อน

คุณศุภจีคือตัวแทนของ "ภาพลักษณ์ความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ" ที่ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน ดึงดูดชนชั้นกลางและคนเมือง และเป็นเกราะป้องกันทางการเมือง เมื่อฝ่า

'อนุทิน' ขึงขังห้ามทำลายเกียรติภูมิ-รุกล้ำ!

นายกฯ กร้าว! ห้ามรุกล้ำ ห้ามย่ำยี ห้ามทำลายเกียรติภูมิและคนไทย ปมชายแดนบ้านหนองจาน ปัดขีดเส้นตายให้ชาวกัมพูชาต้องย้ายออกก่อนยุบสภา ย้ำความมั่นคงไม่มีกรอบกำหนด

ขนลุก! กูรูใหญ่ สาปแช่งพรรคเพื่อไทย หลังข่าวซูเอี๋ยพรรคส้ม

ความคิดที่เพื่อไทยและประชาชนจะจับมือกันตั้งรัฐบาลหลังเลือกตั้งแล้วเลื่อนการอภิปรายไม่ไว้วางใจ คือท่าดีทีล้มละลายทางการเมือง

'ภัยพิบัติการเมือง เมื่อกฎบริจาค กลายเป็นสนามแข่งพรรคใหญ่'

ในช่วงปลายปี 2568 ซึ่งประเทศไทยกำลังเผชิญกับสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างน้ำท่วมในหลายพื้นที่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ออกมาชี้แจงแนวทางการบริจาคเงินและสิ่งของเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย