ทุนเทาฮั้วนักการเมือง-ตำรวจ โลกบีบไทยปราบ'สแกมเมอร์'

ปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะการหลอกลวงออนไลน์ หรือ สแกมเมอร์ ได้กลายเป็นภัยคุกคามระดับชาติที่สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจมูลค่าหลายแสนล้านบาทต่อปีในประเทศไทย ทว่าแม้รัฐบาลจะประกาศยกสถานการณ์นี้เป็น วาระแห่งชาติ และตั้งคณะกรรมการปราบปรามโดยเฉพาะ แต่ความคืบหน้าดูจะยังไม่เป็นรูปธรรมนัก

โดยมีการตั้งกลไกใหม่หลายชุด แต่ไม่แก้ปัญหาต้นตอว่าทำไมหน่วยงานหลักอย่าง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ซึ่งมีอำนาจและโครงสร้างอยู่แล้ว กลับไม่สามารถจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะที่ประเทศอย่างเกาหลีใต้และสหรัฐอเมริกา แสดงให้เห็นถึงความเด็ดขาดในการต่อสู้กับเครือข่ายข้ามชาติเดียวกันนี้

รัฐบาลภายใต้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย ได้ประกาศให้การปราบปรามสแกมเมอร์เป็นวาระแห่งชาติ โดยตั้ง คณะกรรมการอำนวยการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บอร์ดปราบสแกมเมอร์) ซึ่งนายกฯ เองนั่งเป็นประธาน รองนายกรัฐมนตรี นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ เป็นกรรมการ มีหน้าที่ประสานงานระหว่างหน่วยงาน เช่น กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี), สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) และธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อรับแจ้งเหตุ สั่งระงับธุรกรรม และวิเคราะห์ข้อมูลดิจิทัลให้รวดเร็วขึ้น 

นอกจากนี้ยังมีการตั้งคณะอนุกรรมการปราบปรามการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 3 คณะ โดยมี รมว.ยุติธรรม รมว.ดีอี และจเรตำรวจ เพื่อประสานงานในเรื่องต่างๆ ในการปราบปรามสแกมเมอร์

แต่คำถามที่ค้างคาใจคือ ทำไมต้องตั้งคณะกรรมการใหม่ หาก กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) และ กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.)  ซึ่งอยู่ภายใต้ ตร. มีอำนาจเต็มรูปแบบในการสืบสวน จับกุม จากข้อมูลระบุว่า ตั้งแต่ปี 2568 ตร.ได้จับกุมผู้ต้องหาสแกมเมอร์กว่า 73 ราย และยึดทรัพย์มูลค่ากว่า 500 ล้านบาท แต่ตัวเลขนี้ยังต่ำกว่าความเสียหายจริงที่ประชาชนรายงานเข้ามากว่า 43,217 คดี มูลค่าความสูญเสียรวม 3,427 ล้านบาท ในช่วง 2 เดือนแรกของปี

อย่างไรก็ตาม มีการวิเคราะห์ว่าการตั้งคณะกรรมการใหม่เป็นเพียง มาตรการแสดงท่าที ของรัฐบาล แต่จะปราบได้จริงหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

ปัญหาสแกมเมอร์ในไทยเชื่อมโยงกับศูนย์กลางในกัมพูชา ลาว และเมียนมา โดยเฉพาะพื้นที่ปอยเปต (ชายแดนไทย-กัมพูชา) ซึ่งเป็นแหล่งผลิตคอลเซ็นเตอร์และบอตเน็ต (เครือข่ายหุ่นยนต์หลอกลวง) ที่หลอกเหยื่อทั่วโลก รายงานจากกองทัพบกไทย (20 ต.ค.2568) ระบุว่า อาชญากรเหล่านี้ใช้เทคนิคขั้นสูง เช่น กลโกงคริปโตเคอร์เรนซี

สาเหตุหลักของความล่าช้าอยู่ที่ 3 ประการ จากข้อมูลที่รวบรวม ประการแรกคือ ปัญหาชายแดนที่ซับซ้อน การบุกจับในเมียนมาเมื่อเดือน ต.ค.2568 ทำให้ผู้หลบหนีกว่า 1,500 คน ทะลักเข้าฝั่งไทย สร้างภาระให้ ตร. ต้องรับมือทั้งด้านมนุษยธรรมและความมั่นคง

ประการที่สองคือ ข้อจำกัดทางเทคโนโลยีและกฎหมาย ไทยยังขาดระบบติดตามธุรกรรมดิจิทัลแบบเรียลไทม์ ต่างจากสหรัฐที่ใช้เอไอวิเคราะห์ข้อมูลข้ามชาติ จากการรายงานกระทรวงการคลังของสหรัฐอเมริการะบุว่า ชาวอเมริกันสูญเงินไปอย่างน้อย 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 320,000 ล้านบาท) จากการถูกหลอกลวงทางออนไลน์ ซึ่งมีศูนย์กลางความเคลื่อนไหวอยู่ในหลายประเทศของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ประการที่สามคือ การทุจริตภายใน นี่คือจุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุด ตร. บางพื้นที่ทำงานล่าช้าเพราะมีเส้นสายจากนักการเมืองและเจ้าหน้าที่รับผลประโยชน์

ประเด็นอ่อนไหวที่สุดคือ ข้อกล่าวหาว่า นักการเมืองและตำรวจไทยมีส่วนพัวพันกับเครือข่ายสแกมเมอร์ ซึ่งหากเป็นจริง จะอธิบายความล่าช้าได้ชัดเจน กระแสข่าว "7 นักการเมืองไทยเอี่ยวสแกมเมอร์ในกัมพูชา" แพร่สะพัดในโซเชียลเมื่อกลาง ต.ค.2568 โดยอ้างว่านายกรัฐมนตรีเกาหลีใต้จะเปิดเผยชื่อ แต่สถานเอกอัครราชทูตเกาหลีประจำไทยยืนยันว่าเป็น "ข่าวปลอม"

ซึ่งในช่วงหลังกระแสข่าวนักการเมือง ช. หนาหูมากขึ้น "อัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์" ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ออกโรงแฉหนักหน่วง นักการเมืองชื่อ ช. ซึ่งเป็น สส.ภาคใต้ และหลังจากนั้นไม่นาน "อัจฉริยะ" ก็ออกมาระบุว่า "ชนนพัฒฐ์ นาคสั้ว" สส.สงขลา จากพรรคกล้าธรรม เข้าไปมีส่วนพัวพันและรับผลประโยชน์ รวมถึงรายชื่อข้าราชการตำรวจหลายหน่วยงาน และหน่วยงานอื่นๆ เป็นเงินหลายล้านบาทต่อเดือน

โดยเฉพาะตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ซึ่งเป็นหน่วยงานปราบปรามเกี่ยวกับเว็บการพนัน แต่กลับเข้ามามีรายชื่อในการรับผลประโยชน์ โดยพบเงินหมุนเวียนในเครือข่ายทั้ง 2 เครือข่าย กว่า 2,500 ล้านบาท

ด้าน รังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ออกมาจี้กลางสภาว่า มีนักการเมืองไทยไม่ต่ำกว่า 7 คน เอี่ยวขบวนการสแกมเมอร์ ที่โยงกัมพูชา–จีนเทา และนอกจากนี้ยังให้สัมภาษณ์ถึงกรณีบุคคลชื่อย่อ “ช” เป็นนักการเมืองที่เชื่อมโยงสแกมเมอร์ ตามที่ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล อดีตรองผบ.ตร.กล่าวนั้น เชื่อว่าหน่วยงานรัฐมีข้อมูลหมด และเชื่อว่าผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติก็มีข้อมูล แต่คำถามเหตุใดจึงเงียบอยู่ ไม่มีการดำเนินการใด ทำให้ภาระความเสี่ยงอยู่ที่ฝ่ายค้าน

"เชื่อว่าข้อมูลหลักฐานสามารถกล่าวถึง นักการเมือง “ช” ขนาดสหรัฐและอังกฤษอยู่ไกลยังดำเนินการได้ แต่ทำไมไทยอยู่ใกล้แค่นี้ไม่ดำเนินการ ไม่ใช่ไม่มีข้อมูล แต่ประเด็นสำคัญ ทางการไทยรู้ข้อมูลทั้งหมด ว่านักการเมืองไทยเกี่ยวข้องกับสแกมเมอร์อย่างไรบ้าง แต่ยังไม่ได้ดำเนินการ อ้างว่าจากการตรวจสอบนักการเมืองที่เกี่ยวข้องกับสแกมเมอร์ที่เป็นรัฐมนตรีมากกว่า 7 คนแล้ว"

ระเบิดลูกนี้กำลังนับถอยหลังรัฐบาลที่จะต้องจัดการเรื่องนี้ให้เสร็จภายในระยะเวลาไม่ถึง 4 เดือน ซึ่งประเด็นดังกล่าวสะท้อนถึงผลประโยชน์ทับซ้อนภายในรัฐบาล และพรรคร่วมรัฐบาล และนอกจากนี้ยังเป็นวัฒนธรรมทุจริตที่นักการเมือง ข้าราชการ หรือตำรวจ ที่ "ทำได้แต่ไม่ทำ"

จากดัชนีชี้วัดภาพลักษณ์คอร์รัปชันปี 2567 ไทยได้ 34 คะแนน อยู่อันดับ 107 ของโลก ซึ่งตรงกับที่นายเมธา มาสขาว เลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) ยื่นหนังสือถึงทำเนียบฯ ขอปรับ ครม.ใหม่ เพราะมีรัฐมนตรีโยงฟอกเงินสแกมเมอร์ และเรียกร้องให้ ปปง. ตรวจสอบเส้นเงินอิสระโดยไม่ต้องรอคำสั่งจากนายก

ล่าสุด นายกฯ อนุทิน กล่าวระหว่างเป็นประธานการประชุมตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายแก่คณะกรรมการ คณะผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) โดยยอมรับว่ามีความกดดัน และได้รับความกดดันจากประชาชนและสังคม ตลอดจนประชาคมนานาชาติสูงมากในเรื่องของการเกิดปัญหาอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสแกมเมอร์เหล่านี้

"ยิ่งถ้าเราดำเนินการไม่เฉียบขาด ไม่เต็มที่ มันไม่ใช่เฉพาะว่าเราจะถูกตราหน้าว่าเราไม่มีผลงาน แต่สิ่งที่จะตามมาหลังจากนั้นคือ การแซงก์ชัน (มาตรการลงโทษคว่ำบาตร) และถูกกีดกันจากนานาชาติ ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญมาก” นายอนุทิน ระบุ

ดังนั้นหากรัฐบาลยังไม่สามารถแก้ปัญหาภายในอย่างจริงจัง โดยเริ่มจากตรวจสอบนักการเมืองและตำรวจ ที่รับผลประโยชน์จาก ทุนเทา สแกมเมอร์ จะยังคงเป็นภัยคุกคามวาระชาติที่แท้จริง ไม่ใช่แค่ภัยจากภายนอก หากแต่ภัยจากภายในที่กำลังทำลายความเชื่อมั่นของประชาชน ท่ามกลางแรงกดดันจากนานาชาติที่กำลังรุมล้อมประเทศไทยด้วย 

ถ้ารัฐบาลชุดนี้ยังล่าช้าอีก จะด้วยเหตุใดก็ตาม ผลที่ตามมาอาจไม่ใช่แค่การสูญเงินของประชาชน แต่เป็นการสูญเสียอธิปไตยทางไซเบอร์ของชาติ และความเชื่อถือจากนานาชาติด้วย.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

แนวรบสุดท้ายสู้สแกมเมอร์ ปัจจัยที่ต้องปิดจ๊อบชายแดน

แม้สถานการณ์สู้รบตามแนวชายแดน "ไทย-กัมพูชา" ในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนอีสานใต้ ฝ่ายไทยจะสามารถยึดเป้าหมายในหลายพื้นที่ และ มีแนวโน้มที่ดีใน 13 แนวรบ แต่ก็ยังประมาทไม่ได้ เพราะดูเหมือนว่า "กัมพูชา"

'หลิว จงอี้' พบกองทัพบก จีนชี้รัฐบาลกัมพูชาเอี่ยวขบวนการ 'สแกมเมอร์' หลายมิติ

หลิว จงอี้ ร่วมหารือกองทัพบก ขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาไซเบอร์สแกม เผยรัฐบาลกัมพูชามีความเชื่อมโยงและมีผลประโยชน์ร่วมกับขบวนการสแกมเมอร์ในหลายมิติ

รุกฆาต! ถล่มปอยเปต ไทยเปิดฉากโจมตีฐานที่มั่นทหารกัมพูชา ซ่องสุมกำลังพล-อาวุธ

เพจ Army Military Force โพสต์คลิปวิดีโอพร้อมข้อความว่า ด่วน!!! ชาวเน็ตเขมรแชร์คลิปวีดีโอที่ระบุว่า เมื่อสักครู่ ทหารไทยโจมตีฐานปฏิบัติการทางทหารเขต 5

ได้ทุกขั้ว-เสบียงกรัง-อำนาจ เมินกระแส สส.แห่ซบ‘กล้าธรรม’

นอกจาก ‘พรรคภูมิใจไทย’ ที่มี ‘แม่เหล็ก’ ดึงดูดอดีต สส.และนักการเมือง ในการเลือกตั้งครั้งนี้แล้ว ‘พรรคกล้าธรรม’ อาณาจักรของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะที่ปรึกษาพรรค เป็นอีกค่ายหนึ่งที่มีผู้คนพาเหรดเข้ามาเป็นองคาพยพ