โรดแมปตามปฏิทินการเมืองขับเคลื่อนไปตามลำดับ ล่าสุดที่ประชุมร่วมรัฐสภาเมื่อวันที่ 24-25 ก.พ.ที่ผ่านมา ผ่านความเห็นชอบร่างแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญสองฉบับคือ พ.ร.บ.การเลือกตั้ง ส.ส. และ พ.ร.บ.พรรคการเมืองฯ วาระแรกไปแล้ว
โดยในส่วนของร่างแก้ไข พ.ร.บ.เลือกตั้ง ส.ส.ไม่มีปัญหามากนัก เพราะที่มีการเสนอกันไปสี่ร่างฯ ทั้งของคณะกรรมการการเลือกตั้งที่เสนอโดยคณะรัฐมนตรี-ร่างของพรรคเพื่อไทย-ร่างของวิปรัฐบาลหรือ ส.ส.รัฐบาล รวมถึงแม้แต่ร่างฯ ของพรรคก้าวไกล ล้วนผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุมร่วมรัฐสภาทั้งหมด
แต่ที่ถูก ตีตก-คว่ำร่าง ก็เป็นไปตามที่คาดการณ์กันคือ ร่างแก้ไข พ.ร.บ.พรรคการเมือง ของพรรคฝ่ายค้าน ทั้งของพรรคเพื่อไทย-พรรคประชาชาติ และ ส.ส.พรรคฝ่ายค้านพรรคอื่นๆ และร่างของพรรคก้าวไกลที่ไม่ผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุมรัฐสภาในวาระแรก
หลังถูก ส.ส.รัฐบาล-สมาชิกวุฒิสภา ตั้งป้อมค้าน มาหลายวันแล้ว เพราะมองว่าเนื้อหาที่ฝ่ายค้านเสนอแก้ไขมา ไปไกลเกินกว่าการแก้ไขกติกาการเลือกตั้งและระบบการบริหารงานของพรรคการเมือง เพื่อให้สอดรับกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราที่เปลี่ยนระบบการเลือกตั้งไปก่อนหน้านี้
โดยประเด็นที่ถูก ส.ส.รัฐบาลและ ส.ว.หยิบยกมาเป็นประเด็นในการจับมือกันสอยร่วงร่างแก้ไข พ.ร.บ.พรรคการเมืองของฝ่ายค้านหลักๆ ก็คือกรณี พรรคเพื่่อไทย ที่เสนอแก้ไขมาตรา 28-29 ของ พ.ร.บ.พรรคการเมือง พ.ศ.2560 เพื่อ เปิดช่อง ให้คนนอกที่ไม่ใช่สมาชิกพรรคสามารถให้ข้อคิดเห็น-คำแนะนำต่อพรรคการเมืองได้ ที่ถูกอภิปรายคัดค้านว่าเป็นการเสนอแก้ไขในประเด็นที่ไม่สอดคล้องกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญก่อนหน้านี้ และเข้าข่ายลักษณะ หมกเม็ด-ยัดไส้ พ่วงมาด้วยเพื่อหวังเปิดช่องให้คนนอก โดยเฉพาะโทนี่ ทักษิณ ชินวัตร เข้าแทรกแซงพรรคเพื่อไทยได้ทั้งโดยทางตรงและทางอ้อม โดยไม่เสี่ยงกับการถูกร้องเอาผิดกับคณะกรรมการการเลือกตั้งเพื่อให้ยุบพรรคเพื่อไทย
ขณะที่ร่างแก้ไข พ.ร.บ.พรรคการเมืองฯ ของพรรคประชาชาติ ที่เสนอโดย พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง และพวก ยิ่งไปไกลกว่านั้นคือ เสนอให้โละทิ้งมาตรา 28 และ 29 ออกไปทั้งหมดเลย ที่หนักกว่าของร่างฯ ของพรรคเพื่อไทยด้วยซ้ำ
ส่วนร่างของ พรรคก้าวไกล พบว่าประเด็นที่ถูกอภิปรายคัดค้านไม่เห็นด้วยหลักๆ ก็คือ กรณีพรรคก้าวไกลเสนอแก้ไข พ.ร.บ.พรรคการเมืองฯ เพื่อ ตัดอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ ในการสั่งยุบพรรคการเมืองและตัดสิทธิการเมืองกรรมการบริหารพรรคที่โดนตัดสินยุบพรรค
ในทางการเมืองมีการมองกันว่า เป็นเพราะพรรคก้าวไกลที่มาจาก พรรคอนาคตใหม่ ที่โดนศาลรัฐธรรมนูญตัดสินยุบพรรคไปจากคดีเงินกู้ 191 ล้านบาทของธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ จึงทำให้พรรคก้าวไกล แค้นฝังหุ่น กับศาลรัฐธรรมนูญ รอบนี้เลยทวงแค้นด้วยการเสนอแก้ไขกฎหมายพรรคการเมืองเพื่อขอตัดอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ แต่ก็ถูกทักท้วงไม่เห็นด้วย โดยมองว่าหากพรรคการเมืองไม่ได้กระทำผิดอะไร ก็ไม่เห็นต้องกลัวศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรค อีกทั้งเป็นการเสนอแก้ไขในประเด็นที่ไม่สอดรับกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญก่อนหน้านี้ โดยมีสมาชิกรัฐสภาบางส่วน โดยเฉพาะสมาชิกวุฒิสภา มองว่าเป็นการเสนอแก้ไขเพื่อประโยชน์ทางการเมืองของตัวเอง จึงไม่สามารถลงมติให้ผ่านไปได้
ด้วยเหตุผลข้างต้นจึงทำให้ ส.ส.รัฐบาลและ ส.ว.ส่วนใหญ่ไม่ลงมติออกเสียงให้ร่างแก้ไข พ.ร.บ.พรรคการเมืองทั้งของเพื่อไทย-ประชาชาติและก้าวไกล ผ่านวาระแรกไปได้
ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมายแต่อย่างใด เพราะฝ่ายค้าน โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย ทำใจแต่แรกแล้วว่าคงโดนตีตกสอยร่วงแน่นอน
โดยขั้นตอนต่อจากนี้จะเข้าสู่การพิจารณาในชั้นกรรมาธิการร่วมรัฐสภา และพอเสร็จชั้นกรรมาธิการก็จะนำทั้งสองร่างฯ กลับมาให้ที่ประชุมร่วมรัฐสภาโหวตในวาระสองและวาระสามต่อไป โดยคาดกันว่าจะส่งไปให้รัฐสภาได้ในช่วงสมัยประชุมรอบหน้ากลางปีนี้
เมื่อทุกอย่างกำลังเดินหน้าไปตามลำดับ ดังนี้ จึงทำให้โรดแมปการเมือง โดยเฉพาะการเตรียมพร้อมสำหรับการเข้าสู่การเลือกตั้ง ทั้งการเลือกตั้งตามปกติหากสภาอยู่ครบเทอมและการเลือกตั้ง กรณีเกิดการยุบสภา กลไกทางกฎหมายเพื่อรองรับการเลือกตั้งจึงมีการเตรียมไว้แล้ว
ดังนั้นไม่ว่าสุดท้าย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จะอยู่ครบเทอมตามอายุขัยสี่ปีของสภาชุดนี้ คือมีนาคม 2566 หรือว่าจะ ยุบสภา เสียก่อน หากการแก้ไขกฎหมายลูกทั้งสองฉบับข้างต้นเดินหน้าไปเรื่อยๆ ไม่มีการเตะถ่วง ดึงเกม ยื้อเวลา กระบวนการบังคับใช้ร่างแก้ไข พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญทั้งสองฉบับน่าจะแล้วเสร็จกลางปีนี้ คือไม่น่าจะเกินเดือน ก.ค.-มิ.ย.2565
ภายใต้แนววิเคราะห์การเมืองที่มองกันว่า หากพลเอกประยุทธ์ไม่แน่ใจในเสียงสนับสนุน โหวตไว้วางใจ ของตัวเองว่าจะได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งของจำนวน ส.ส.ในสภาที่มีอยู่ ตอนช่วงถูกฝ่ายค้านยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจในการประชุมสภาสมัยหน้าที่จะเปิดกันวันที่ 22 พ.ค.ไปจนถึง ก.ย.2565 พลเอกประยุทธ์ก็อาจจะยุบสภาก่อนฝ่ายค้านยื่นซักฟอก เพื่อไม่ให้กลายเป็นนายกฯ คนแรกของประเทศไทยที่ต้องหลุดจากตำแหน่งกลางสภา เพราะเสียงโหวตไว้วางใจไม่ถึงกึ่งหนึ่ง
เรื่องนี้ก็อยู่ที่ว่าพลเอกประยุทธ์มั่นใจในเสียงโหวตของตัวเองตอนถูกยื่นซักฟอกแค่ไหน?
หากมั่นใจ พลเอกประยุทธ์คงพร้อมจะเสี่ยงเดินหน้าเข้าสู่เวทีซักฟอก แต่หากไม่มั่นใจเพราะเกรงว่าจะถูก ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาล รวมถึง ส.ส.พรรคเล็กอะไรต่างๆ มา ขี่คอ-กดดันทางการเมืองในช่วงศึกซักฟอก เพื่อแลกกับเสียงโหวตไว้วางใจ พลเอกประยุทธ์ก็อาจตัดสินใจถอดปลั๊กอายุรัฐบาลไว้แค่กลางปีนี้ด้วยการยุบสภา เพราะไม่อยากเสี่ยงเดินเข้ากองไฟศึกซักฟอก แล้วถูก ส.ส.-นักการเมือง กดดันต่อรอง-บีบไข่ จนเสียความเป็นตัวของตัวเองไป
พลเอกประยุทธ์จะเลือกแบบไหน คาดว่าก่อนถึงการเปิดประชุมสภาสมัยหน้า สักกลางๆ เดือน พ.ค. พลเอกประยุทธ์คงต้องชั่งน้ำหนักและตัดสินใจแล้ว
นอกจากนี้มีการมองกันว่าหากพลเอกประยุทธ์ฝ่าด่านศึกซักฟอกไปได้ ก็ยังต้องเจออีกด่านสำคัญคือการ ยื่นตีความ เรื่องวาระการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแปดปี ที่ฝ่ายค้านจะยื่นตีความต่อศาลรัฐธรรมนูญในช่วงใกล้ๆ สิงหาคม 2565 หลังฝ่ายค้านมองว่าพลเอกประยุทธ์ไม่น่าจะอยู่ในตำแหน่งได้เกินกว่านั้น เพราะการอยู่ในตำแหน่งแปดปีตามรัฐธรรมนูญต้องนับจากสิงหาคม 2557 ที่พลเอกประยุทธ์เป็นนายกฯ ครั้งแรกตอนหลังรัฐประหาร คสช. ปี 2557 ไม่ใช่นับจากหลังเลือกตั้งปี 2562
ซึ่งหากพลเอกประยุทธ์ฝ่าด่านตีความวาระแปดปีบนเก้าอี้นายกฯ ไปได้อีก แล้วลากรัฐนาวารัฐบาลจนถึงเดือน พ.ย. ที่ไทยเป็นเจ้าภาพการประชุมเอเปก ที่ไฮไลต์สำคัญจะอยู่ช่วงปลายเดือน พ.ย.2565 ซึ่งจะมีผู้นำหลายประเทศทั่วโลกเดินทางมาประเทศไทย หากไม่เกิดสถานการณ์แทรกซ้อนโควิดระบาดหนักในประเทศไทย
รวมถึงช่วงจังหวะเวลาดังกล่าวที่การแก้ไข พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญสองฉบับคือ พ.ร.บ.การเลือกตั้ง ส.ส.และ พ.ร.บ.พรรคการเมืองฯ น่าจะประกาศใช้เรียบร้อยแล้ว ตลอดจนกฎหมายสำคัญของรัฐบาลอย่าง ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2566 ก็มีผลบังคับใช้ รัฐบาลมีการจัดสรรเม็ดเงินลงไปในหน่วยงานต่างๆ ครบหมดแล้ว ผนวกกับถ้ารัฐบาลอยู่จนไปถึงช่วงเดือน พ.ย.ได้ ก็เท่ากับตอนนั้นรัฐบาลมีการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการระดับสูงครบหมด โดยเฉพาะในหน่วยงานสำคัญๆ ที่มีผลทางการเมืองทั้ง
กองทัพ-สำนักงานตำรวจแห่งชาติ-กระทรวงมหาดไทย
เพื่อจัดวางคนที่ตัวเองไว้วางใจให้ไปอยู่ใน ตำแหน่งหลัก เช่น ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนใหม่ ที่จะมาแทน พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. หรือการจัดทัพ ผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ ที่ทั้งหมดจะเป็นการ จัดทัพแต่งตั้งโยกย้ายประจำปี-บิ๊กข้าราชการล็อตสุดท้ายของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ชุดปัจจุบัน
หากทุกอย่างเป็นไปตามนี้ ถึงตอนนั้นคนก็มองกันว่าพลเอกประยุทธ์อาจจะประกาศ ยุบสภา ปลายปีนี้ เพื่อให้มีการเลือกตั้งภายใต้กติกาใหม่ บัตรสองใบ ในช่วงต้นปี 2566
กระนั้น ว่ากันตามจริง หากรัฐบาลพลเอกประยุทธ์อยู่ในอำนาจไปจนถึงปลายปีนี้ มันก็เหลืออีกแค่สามเดือนก็เดือนมีนาคม 2566 ที่ครบเทอมสภาสี่ปีพอดี
ดังนั้น หากพลเอกประยุทธ์ฝ่าสารพัดด่านการเมืองสำคัญๆ กลางปีนี้ไปได้
เชื่อได้เลยว่า พลเอกประยุทธ์ไม่มีทางยุบสภาแน่นอน เพราะอีกแค่อึดใจเดียวก็เดือนมีนาคม 2566
แล้วมีหรือพลเอกประยุทธ์จะไม่อยากเขียนประวัติศาสตร์การเมืองให้ตัวเองว่าเป็นนายกฯ ที่อยู่จนครบเทอม
แต่สุดท้าย สเต็ปการเมืองทุกอย่างจะเดินไปตามนี้หรือไม่ คงต้องรอดูกันไป เพราะการเมือง ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน
โรดแมปการเมืองแต่ละช่วงที่ลำดับไว้ข้างต้น ไม่แน่อาจมีสถานการณ์การเมืองแทรกซ้อนจนเกิดการพลิกผัน และทำให้หน้ากระดานการเมืองเปลี่ยนไปจากที่คนคาดหมายก็ได้
เพียงแต่ช่วงนี้ที่การเมืองอยู่ในช่วงปิดสมัยประชุมสภาไปจนถึง 22 พ.ค. มันก็ทำให้ความร้อนแรงทางการเมืองย่อมลดลงไปจากตอนช่วงเปิดประชุมสภาค่อนข้างมาก ผลก็คือ ทำให้พลเอกประยุทธ์ได้ผ่อนคลายทางการเมืองมากขึ้น และทำให้ได้มีเวลาในการเตรียมพร้อมรับมือกับพายุการเมืองหลายระลอกที่จะโถมเข้าใส่ หลังเปิดประชุมสภาสมัยหน้า
ที่แวดวงการเมืองมองกันว่า พายุการเมืองที่พลเอกประยุทธ์ต้องเจอตอนเปิดประชุมสภารอบหน้าอาจไม่ใช่แค่ทำให้ซวนเซ แต่อาจถึงขั้นทำให้รัฐบาลเจียนอยู่เจียนไปก็ได้หากไม่เตรียมพร้อมรับมือให้ดี.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
นายกฯ ยัน ร่วมโต๊ะอาหารเที่ยงกับ 'เอกนัฏ'
นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์ถึงกรณี นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ(รทสช.) ร่วมโต๊ะอาหารกลางวันกับนายกรัฐมนตรีและคณะ
'ดร.อานนท์' ชงสูตรการเมืองทำลาย 'ก้าวไกล-ธนาธร' เชื่อยอมเจ็บเถิด จะได้จบ
ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำคณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒน บริหารศาสตร์ (NIDA) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กระบุว่า
7 เดือน ‘รัฐบาลเศรษฐา’ เผชิญแรงบีบรอบด้าน!
แม้จะยังไม่ผ่านโค้งแรกในการบริหารประเทศของรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่เริ่มต้นทำงานได้เพียง 7 เดือน แต่ก็เหมือนถูกบีบจากสถานการณ์รอบด้าน ที่เข้ามาท้าทายความสามารถของผู้นำประเทศ อีกทั้งยังมีภาพนายกฯ ทับซ้อนที่ทำให้นายกฯ นิดดูดร็อปลงไป
'ทวี' ยันไม่เคยได้ยิน เพื่อไทยจะเอาตำแหน่งประธานสภาฯ
พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม กล่าวถึงกรณีมีกระแสว่าพรรคเพื่อไทยจะขอเก้าอี้ประธานสภา ว่า รัฐธรรมนูญได้มีการเขียนเอาไว้อย่างชัดเจนถึงการเข้าดำรงตำแหน่งประธานสภาว่าเป็นเรื่องของสภา ส่วนเรื่องคณะรัฐมนตรีนั้นเป็นเรื่องของนายกรัฐมนตรี
'ทักษิณ' เอฟเฟกต์! ส่อทำการเมืองไทยวนลูปเดิม
ช่วงที่ผ่านมาแม้จะมีประเด็นข่าวร้อนแรงมากมายแค่ไหน แต่มีบุคคลหนึ่งที่ถ้าอยู่ในหน้าข่าวเมื่อไหร่ มักจะสร้างประเด็นดรามาที่ต้องพูดถึงไม่หยุดกับพ่อใหญ่แห่งพรรคเพื่อไทย ทักษิณ ชินวัตร
ศาล รธน.ไฟเขียว 'ก้าวไกล' ขยายเวลาสู้คดียุบพรรค
ศาล รธน.ไฟเขียวให้ขยายเวลาก้าวไกล ชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา ปมยุบพรรค ได้อีก 15 วัน