กทท.จ่อเซ็นสัญญากลุ่ม GPC ลุยสร้างท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 ภายในพ.ย.นี้

กทท. จ่อลงนามร่วมกิจการร่วมค้า GPC ลุยท่าเรือแหลมฉบัง เฟส 3 “ท่าเทียบเรือ F” ภายใน พ.ย.-ต้น ธ.ค.นี้ พร้อมเชิญ “นายกฯ” เป็นประธาน ชี้ปิดจ๊อบหลังยืดเยื้อกว่า 2 ปี 7 เดือน คาดส่งมอบพื้นที่ให้เอกชนช่วงปลายปี 66 แล้วเสร็จ-เปิดใช้บริการในปี 68

10 พ.ย.2564-เรือโท กมลศักดิ์ พรหมประยูร ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) เปิดเผยว่า ตามที่วานนี้ (9 พ.ย. 2564) ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ในส่วนของท่าเทียบเรือ F เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ภายหลังสำนักงานอัยการสูงสุดเห็นชอบร่างสัญญาร่วมทุนโครงการฯ กับกิจการร่วมค้า GPC ประกอบด้วย บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) บริษัท พีทีที แทงค์ เทอร์มินัล จำกัด (PTT TANK) บริษัท ไชน่า ฮาร์เบอร์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด

นอกจากนี้ ยังผ่านการพิจารณาอนุมัติของคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) แล้ว โดยหลังจากนี้ กทท. จะลงนามในสัญญากับกลุ่มกิจการร่วมค้า GPC คาดว่า จะลงนามในช่วงปลาย พ.ย. 2564 หรือต้น ธ.ค.นี้ โดยมีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานและร่วมเป็นสักขีพยานในการลงนามฯ

ทั้งนี้ กทท. จะออกหนังสือเริ่มงาน NTP (Notice to Proceed) ให้กลุ่มกิจการร่วมค้า GPC เริ่มงานเกี่ยวกับอาคาร สิ่งปลูกสร้าง ลานวางตู้สินค้า ติดตั้งอุปกรณ์และเครื่องจักรทั้งหมด เช่น ปั้นจั่นหน้าท่า ฯลฯ ในช่วงประมาณปลายปี 2566 เพื่อเตรียมความพร้อมในการเปิดให้บริการในปี 2568 เพื่อให้ทันการรองรับการขยายตัว ทางเศรษฐกิจและการค้าของประเทศ สนับสนุนการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศด้วย

“โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ในส่วนของท่าเทียบเรือ F โดยเมื่อ ครม. รับทราบผลการคัดเลือก ถือว่า สิ้นสุดสำหรับการคัดเลือกแล้ว นับตั้งแต่การรับซองประมูลครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 29 มี.ค. 2562 ที่ผ่านมา รวมระยะเวลายาวนานมาก หรือ 2 ปี 7 เดือน 12 วัน ซึ่งถือเป็นโครงการที่ใช้ระยะเวลายาวมากในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ของโครงการอื่นๆ ซึ่งยืนยันว่า เรายึดมั่นในคำขอข้อเสนอ (RFP) อย่างเคร่งครัด” เรือโท กมลศักดิ์ กล่าว

เรือโท กมลศักดิ์ กล่าวอีกว่า โครงการดังกล่าวนั้น กทท. จะได้รับผลประโยชน์ตอบแทนทางการเงินขั้นต่ำเป็นค่าสัมปทานคงที่เท่ากับมูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) ที่ 29,050 ล้านบาท และค่าสัมปทานผันแปรที่ 100 บาทต่อที.อี.ยู. และกิจการร่วมค้า GPC จะต้องสมทบเงินเข้ากองทุนเยียวยาความเสียหายฯ ในอัตรา 5,000 บาท/ไร่/ปี นับตั้งแต่เริ่มประกอบการ โดย กทท. จะเริ่มดำเนินการในส่วนของท่าเทียบเรือ F เป็นลำดับแรก ระยะเวลาสัมปทาน 35 ปี วงเงินเอกชนลงทุนประมาณ 30,000 ล้านบาท ซึ่งตลอดระบะเวลาสัมปทาน กทท. จะได้รับผลตอบแทน วงเงินรวมประมาณ 87,400 กว่าล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับวงเงินที่รัฐบาลตั้งหวังไว้

สำหรับโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 มูลค่าโครงการรวมประมาณ 1.1 แสนล้านบาท แบ่งเป็น กทท. ลงทุนประมาณ 50,000 ล้านบาท และเอกชนลงทุนประมาณ 60,000 ล้านบาท ในส่วนของเอกชนแบ่งเป็นเงินลงทุนในท่าเทียบเรือ F ประมาณ 30,000 ล้านบาท ท่าเทียบเรือ E ประมาณ 25,000 ล้านบาทและท่าเทียบเรือ E0 ประมาณ 5,000 ล้านบาท ทั้งนี้ ในระยะแรกเมื่อท่าเทียบเรือ F แล้วเสร็จ จะสามารถรองรับได้ 4 ล้าน ที.อี.ยู. แบ่งเป็น ท่าเทียบเรือ F1 จำนวน 2 ล้าน ที.อี.ยู. และท่าเทียบเรือ F2 จำนวน 2 ล้าน ที.อี.ยู. โดยหากพิจารณาแล้ว พบว่า ใกล้เต็มขีดความสามารถแล้วนั้น กทท. จึงจะดำเนินการในส่วนของท่าเทียบเรือ E ต่อไป ซึ่งคาดว่า ประมาณ 10 ปีข้างหน้า

อย่างไรก็ตามโดยขณะนี้ กทท. ได้ดำเนินการจัดทำสัญญาจ้างเหมาก่อสร้างโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 (ส่วนที่ 1) งานก่อสร้างงานทางทะเลกับกิจการร่วมค้า ซีเอ็นเอ็นซี วงเงินรวม 21,320 ล้านบาท เพื่อรองรับงานก่อสร้างท่าเทียบเรือและโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ท่าเรือตู้สินค้า ท่าเรืออเนกประสงค์ ท่าเรือชายฝั่ง ท่าเรือบริการ งานระบบรางและย่านรถไฟ ซึ่งจะดำเนินการต่อไปในอนาคต 

นอกจากนี้ กทท. ได้มีหนังสือแจ้งให้กิจการร่วมค้า ซีเอ็นเอ็นซี ได้เริ่มปฏิบัติงานตั้งแต่วันที่ 5 พ.ค. 2564 ที่ผ่านมา ขณะนี้อยู่ระหว่างขออนุญาตก่อสร้างสิ่งล่วงล้ำลำน้ำและการนำเข้าเครื่องจักรจากต่างประเทศ คาดว่าจะดำเนินการขออนุญาตแล้วเสร็จภายใน พ.ย. 2564 และหลังจากได้รับการอนุญาตแล้วจะเริ่มดำเนินการงานทางทะเลทันที พร้อมกันนี้ กทท. ได้ว่าจ้าง บริษัท เอเชี่ยน เอ็นจิเนียริ่งคอลซัลแตนส์ จำกัด และบริษัท โชติจินดา คอลซัลแตนส์ จำกัด เพื่อควบคุมงานก่อสร้าง โครงการฯ วงเงิน 898 ล้านบาท โดยเริ่มปฏิบัติงานตั้งแต่วันที่ 16 ต.ค. 2563 ที่ผ่านมา

สำหรับผลการดำเนินงานในรอบปีงบประมาณ 2564 กทท. มีปริมาณตู้สินค้าผ่านท่า ณ ท่าเรือแหลมฉบัง 9.8 ล้าน ที.อี.ยู. เพิ่มขึ้น 10.18% และปริมาณเรือเทียบท่ารวม 11,041 เที่ยว ลดลง 0.46% มีกำไรสุทธิในภาพรวมของ กทท. ประมาณ 6,023 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.99 % เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2563 ที่มีกำไรอยู่ที่ 5,630 ล้านบาท และปี 2562 มีกำไร 5,600 ล้านบาท ส่วนรายได้เฉลี่ยในแต่ละปี จะอยู่ที่ประมาณ 15,000 ล้านบาท เติบโตขึ้นปีละ 3% ทั้งนี้ คาดการณ์ว่า ในปี 2565 กทท. จะมีรายได้ประมาณ 15,900 ล้านบาท, ปี 2566 มีรายได้ประมาณ 16,100 ล้านบาท และคาดว่า ในปี 2568 เมื่อเปิดใช้ท่าเทียบเรือ F แล้ว กทท. จะมีรายได้รวมประมาณกว่า 19,000 ล้านบาท

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'ปตท.' เป็นบริษัทเดียวในไทยติดอันดับมูลค่าแบรนด์สูงสุดของโลกประจำปี 2567

นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปตท. เป็นแบรนด์เดียวของไทยที่ได้รับการจัดอันดับติดหนึ่งใน 500 แบรนด์แรกของโลก โดยมีมูลค่าแบรนด์สูงกว่าแปดพันล้านดอลลาร์สหรัฐ จัดอยู่อันดับที่ 267 สูงขึ้น 78 อันดับ

บิ๊กดีล! 'การท่าเรือ' ประกาศคว้า 'อัสนาวี' กัปตันทีมชาติอินโดนีเซีย เสริมแกร่ง

การท่าเรือ เอฟซี ปิดดีลสำคัญในวันส่งท้ายตลาดซื้อขายนักเตะ หลังประกาศคว้า อัสนาวี มังกูวาลัม แบ็คขวากัปตันทีมชาติอินโดนีเซีย มาร่วมทัพ เพื่อสู้ศึกในช่วงเลกสอง ฤดูกาล 2023/24 อย่างเป็นทางการ ในฐานะแข้งโควตาอาเซียน

รัฐบาลสกัดข่าวเท็จ ปตท.ปลอมแปลงผลิตภัณฑ์น้ำมันเครื่อง

รองโฆษกรัฐบาล ขออย่าเชื่อปม “ปตท. ปลอมแปลงผลิตภัณฑ์น้ำมันเครื่อง”  ยืนยัน “เป็นข้อมูลเท็จ” ชี้ ผลิตน้ำมันเครื่องมีมาตรฐาน

เกรียงไกร ไชยศิริวงศ์สุข พาทัวร์งานหินถมทะเลแหลมฉบังเฟส3

คงต้องบอกว่า “โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3” เป็นโครงการที่จะช่วยสร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ ยกระดับความสามารถทางการค้า และเพิ่มขีดความสามารถให้กับประเทศไทย