'คนร.'กำชับรัฐวิสาหกิจเดินเครื่องตามแผน 5 ปี

“คนร.” กำชับรัฐวิสาหกิจเดินเครื่องตามแผน 5 ปี ชงปรับตัวให้เข้าสถานการณ์โลก เพิ่มรายได้ ปรับปรุงภาพลักษณ์ ลดต้นทุน พร้อมจี้ 6 รัฐวิสาหกิจเร่งแก้ปัญหาองค์กรตามแผนฟื้นฟู สั่งรายงานความคืบหน้าต่อเนื่อง

27 ม.ค. 2566 – นางปานทิพย์ ศรีพิมล ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) ครั้งที่ 1/2566 เมื่อวันที่ 26 ม.ค. 2566 โดยมีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เป็นประธาน ว่า แผนพัฒนารัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2566 – 2570 มีผลบังคับใช้แล้ว ส่งผลให้กระทรวงเจ้าสังกัด และรัฐวิสาหกิจต้องจัดทำแผนวิสาหกิจระยะ 5 ปี และแผนปฏิบัติการประจำปี เพื่อกำหนดทิศทางการดำเนินงานที่สอดคล้องกับแผนพัฒนาดังกล่าว ให้บรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติต่อไป

โดย คนร. ได้กำชับให้มีการติดตามการดำเนินการตามแผนดังกล่าวให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ โดยขอให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงเจ้าสังกัด คณะกรรมการรัฐวิสาหกิจ ฝ่ายบริหารและพนักงานรัฐวิสาหกิจร่วมกันกำหนดเป้าหมายในการพัฒนาและขับเคลื่อน อาทิ การปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงไป การเพิ่มรายได้ การปรับปรุงภาพลักษณ์ การลดต้นทุน การลงทุนและพัฒนาที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม ใช้ประโยชน์ในทรัพย์สินที่มีให้เกิดประโยชน์สูงสุด การร่วมมือกันระหว่างรัฐวิสาหกิจ เป็นต้น เพื่อให้รัฐวิสาหกิจมีความมั่นคง เข้มแข็งและเป็นประโยชน์ต่อประเทศต่อไป

นอกจากนี้ ที่ประชุม คนร. ยังรับทราบผลการประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ ประจำปีบัญชี 2564 ตามระบบประเมินผลฯ จำนวน 52 แห่ง โดยในภาพรวมรัฐวิสาหกิจมีผลการดำเนินงานและการบริหารจัดการองค์กรดีขึ้น โดย คนร. มีข้อสังเกตให้ผู้ที่เกี่ยวข้องนำปัจจัยต่าง ๆ ไปพิจารณาจัดทำแผนงานและจัดลำดับความสำคัญ รวมถึงกำหนดตัวชี้วัดให้มีความเหมาะสมยิ่งขึ้น อาทิ ผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี การพัฒนาระบบฐานข้อมูล การพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ BCG Model รวมถึงการร่วมมือกันระหว่างรัฐวิสาหกิจ

ทั้งนี้ ให้มีการกำกับติดตามการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจอย่างใกล้ชิด เพื่อให้สามารถกำหนดมาตรการสนับสนุน แก้ไข หรือแนวทางการปรับตัวให้ทันต่อสถานการณ์ได้อย่างทันท่วงที และส่งผลให้การดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลดีขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อการขับเคลื่อนประเทศต่อไป

อย่างไรก็ดี ในส่วนของการดำเนินการแก้ไขปัญหาองค์กรของรัฐวิสาหกิจทั้ง 6 แห่ง ได้แก่ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.), องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.), บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน), บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน), ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือเอสเอ็มอีแบงก์ และธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ธอท.) หรือไอแบงก์ มีความคืบหน้าในการดำเนินงานตามลำดับ

“คนร. กำชับให้รัฐวิสาหกิจเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาองค์กรให้เป็นไปตามแผนและเห็นผลอย่างเป็นรูปธรรม โดยให้มีการกำหนดเป้าหมาย/มาตรการดำเนินงานในระยะต่าง ๆ ทั้งในระยะสั้น ระยะปานกลาง และระยะยาว เพื่อให้มีการติดตามและปรับปรุงแก้ไขได้ทันต่อสถานการณ์ รวมถึงเน้นการดำเนินงานที่เป็นประโยชน์กับประชาชนและประเทศชาติ พร้อมทั้งกำชับให้กระทรวงเจ้าสังกัดกำกับดูแลและรายงานความคืบหน้าต่อ คนร. อย่างต่อเนื่อง” นางปานทิพย์ กล่าว

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'สคร.' ฟุ้งรัฐวิสาหกิจลงทุนพุ่ง 1.12 แสนล้าน

“สคร.” ฟุ้ง พ.ค. 2566 รัฐวิสาหกิจเบิกจ่ายลงทุนพุ่ง 1.12 แสนล้านบาท คิดเป็น 108% ของแผน พร้อมกำกับใช้งบให้เป็นไปตามเป้าหมาย “รฟท.-รฟม.-กฟผ.” แชมป์ลงทุนเก่ง โครงการขนาดใหญ่เบิกจ่ายคึกคัก

'สคร.' กางยอดเบิกจ่ายรัฐวิสาหกิจพุ่ง 5.6 หมื่นล้าน

“สคร.” กางยอดเบิกจ่ายรัฐวิสาหกิจ พุ่ง 5.63 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 111% ของแผนการเบิกจ่าย “รฟท.-รฟม.-กปน.-กฟผ.และกทพ.” พาเหรดลงทุนติดท็อป 5 พร้อมติดตามการเบิกจ่ายอย่างใกล้ชิด เข็นโตตามเป้าไม่น้อยกว่า 95% ของกรอบงบลงทุนทั้งปี

คลังกางผลงานเบิกจ่ายลงทุนปี 65 ชู 'ปตท.-กฟผ.-รฟท.' ติดท็อป

“สคร.” กางผลงานรัฐวิสาหกิจเดินเครื่องเบิกจ่ายงบลงทุนปี 2565 กว่า 3.25 แสนล้านบาท คิดเป็น 93% ของกรอบงบลงทุน ชู “ปตท.-กฟภ.-รฟท.-กฟผ.-รฟม.” ท็อป 5 แชมป์ลงทุนเก่ง พร้อมจี้ปรับแผนลงทุนให้สามารถเบิกจ่ายได้เร็วขึ้น

รัฐวิสาหกิจส่งรายได้พุ่ง 'ปตท.-กฟภ.-กองสลาก' ครองแชมป์ !!

“คลัง” อวดผลงานรัฐวิสาหกิจลุยส่งรายได้แผ่นดิน ไตรมาส 1 ปีงบ 2566 พุ่ง 6.06 หมื่นล้านบาท สูงกว่าเป้าหมาย 1.89 หมื่นล้านบาท “ปตท.-กฟภ.-กองสลาก” แชมป์ส่งรายได้สูงสุด พร้อมเกาะติดรัฐวิสาหกิจส่งรายได้ปีงบ 66 ตามเป้าหมาย

รัฐวิสาหกิจเบิกจ่ายงบเข้าเป้า โครงการก่อสร้างรถไฟฟ้านำ

“ณ สิ้นปีงบประมาณ 2565 รัฐวิสาหกิจปีงบประมาณเบิกจ่ายได้กว่าร้อยละ 88 ลุ้นรัฐวิสาหกิจปีปฏิทินเบิกจ่ายตามเป้าหมาย ดันเศรษฐกิจไทย”