‘แบงก์ชาติ’ ยอมรับภาคการคลังของไทยอ่อนแอลง ชี้ศก.ไทยต้องมีกันชนรับความเสี่ยง

“แบงก์ชาติ” ชี้เศรษฐกิจไทยต้องแข็งแรง ยืดหยุ่น มีกันชนพร้อมรับความเสี่ยง-ช็อกใหม่ รับห่วงหนี้ครัวเรือน-หนี้สาธารณะ ปักธงวางนโยบายเพิ่มเสถียรภาพ

3 พ.ย. 2566 – นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวปาฐกถาหัวข้อ “Towards a more resilient future ปรับโหมดนโยบายเศรษฐกิจการเงินสู่ความยั่งยืน” ในงานสัมมนา THAILAND NEXT MOVE 2024 The Next Wealth and Sustainability เปลี่ยนผ่านประเทศไทยสู่ความมั่งคั่งยั่งยืน ว่า เศรษฐกิจไทยจะมั่งคั่งและยั่งยืนได้ ต้องมี resilience ซึ่งไม่ได้หมายถึงแค่เสถียรภาพ (stability) แต่ยังหมายถึงความทนทาน ยืดหยุ่น ล้มแล้วลุกได้เร็ว ถือเป็นเรื่องจำเป็น เพราะโลกตอนนี้เปลี่ยนไปชัดเจน ความเสี่ยงต่าง ๆ เพิ่มสูงขึ้น ไม่ใช่แค่ความเสี่ยงที่เราคุ้นเคย เช่น ความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลก แต่ที่น่าเป็นห่วงคือ ความเสี่ยงใหม่ที่ไม่คุ้นชิน ทำให้คาดการณ์ลำบากว่าผลสุดท้ายและผลข้างเคียงของความเสี่ยงดังกล่าวจะเป็นอย่างไร

ทั้งนี้ ความเสี่ยงใหม่ ๆ ที่สูงขึ้นในปัจจุบัน มองว่าเป็นเรื่องสถานการณ์ในตะวันออกกลาง ความไม่สงบในฉนวนกาซ่า ซึ่งอาจนำไปสู่เหตุการณ์ซึ่งคาดไม่ถึง และจากเหตุการณ์นี้ก็จะมีผลข้างเคียงตามมาค่อนข้างสูงด้วยเช่นกัน โดยตอนนี้อยู่ในโหมดของโลกที่ชะล่าใจไม่ได้ สำหรับประเทศไทยตัวเลขเศรษฐกิจบางตัวสะท้อนว่าเสถียรภาพเราค่อนข้างโอเค โดยเฉพาะมิติด้านต่างประเทศ อาทิ ทุนสำรองระหว่างประเทศ ดุลบัญชีเดินสะพัด หนี้ต่างประเทศ งบดุลบริษัทขนาดใหญ่และธนาคารพาณิชย์อยู่ในเกณฑ์ดี เป็นต้น โอกาสที่จะเกิดวิกฤติต่ำ แต่ที่น่าเป็นห่วง คือ หนี้ครัวเรือน ตอนนี้อยู่ที่ระดับ 91% ต่อจีดีพี แม้ว่าจะลดลงมาจากช่วงพีคที่ 94% ต่อจีดีพี แต่ก็ยังอยู่ในระดับที่สูงมาก ๆ เป็นมิติที่ยังมีปัญหา ต้องจับตาและใส่ใจ

สำหรับมิติในฝั่งการคลังปัจจุบันเทียบกับอดีตถือว่าอ่อนแอลง โดยตอนนี้หนี้สาธารณะอยู่ที่ 62% ต่อจีดีพี แม้ว่าหลายประเทศจะสูงกว่าไทย แต่ถ้าเทียบกับอดีต ต้องยอมรับว่าเพิ่มขึ้นมาอย่างรวดเร็วจากช่วงโควิด-19 ซึ่งอยู่ที่ราว 40% ต่อจีดีพี แต่ถ้าเทียบกับอดีตกาลเลย ตัวเลข 62% ต่อจีดีพี ถือเป็นตัวเลขที่สูงที่สุด ขนาดวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 หนี้สาธารณะยังอยู่ที่ 60% ต่อจีดีพี แต่ถ้าถามว่าอยู่ในขึ้นที่มีโอกาสเกิดปัญหาหรือไม่ คำตอบคือ “ไม่ได้อยู่ในระดับที่จะเกิดปัญหา” แต่ก็เป็นตัวเลขที่ต้องใส่ใจ จะชะล่าใจไม่ได้

นายเศรษฐพุฒิ กล่าวอีกว่า นอกจากการดำเนินนโยบายไม่ให้เกิดปัญหาเสถียรภาพแล้ว อีกปัจจัยที่สำคัญคือ ภูมิคุ้มกัน หรือกันชนที่ดีที่จะรองรับช็อกที่อาจเกิดขึ้น โดยเฉพาะภาวะช็อกรูปแบบแปลกและใหม่ ซึ่งเป็นความเสี่ยงที่ไม่คุ้นชิน หากมีกันชนที่ดี เราจะได้รู้ว่าควรบริหารจัดการอย่างไร โดยภูมิคุ้มกันที่ดี คือ การมีขีดความสามารถในการดำเนินนโยบายการเงิน (policy space) ภาครัฐต้องมีกระสุนเพียงพอ ทั้งกระสุนฝั่งนโยบายการเงิน หากเกิดเหตุการณ์จำเป็น ธนาคารกลางต้องมีความสามารถเพียงพอในการลดดอกเบี้ย หรือฝั่งนโยบายการคลังที่ควรเก็บกระสุนไว้รองรับเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงที่อาจเกิดขึ้น และต้องมีทางเลือกใหม่ ๆ เพื่อรองรับและช่วยให้เศรษฐกิจไทยมีทางเลือกในการรองรับช็อกที่คาดไม่ถึง

“เราอยากเป็นเศรษฐกิจที่มี resilience ก็ต้องมีการเติบโต มีโอกาสใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้น ด้วยบริบทสภาพเศรษฐกิจไทย ทุกอย่างนิ่ง การเติบโตไม่เพียงพอ จึงไม่ได้สร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้คน ท้ายที่สุดก็ไม่สามารถทำให้ประเทศไทยก้าวไปสู่ความมั่งคั่งที่ยั่งยืนได้ ถามว่าทำไม การที่จะมีโอกาสใหม่จะช่วยให้ไม่ว่าครัวเรือน หรือธุรกิจมีความหวัง มีโอกาสที่จะเห็นแนวทางเดินต่อไปได้ การสร้างโอกาสที่สำคัญ ๆ คือ โอกาสใหม่ ๆ เป็นอะไรใหม่ ๆ ถามว่าทำไม เพราะหากโตไปแบบเดิม ๆ ยิ่งวันก็ยิ่งลำบาก” นายเศรษฐพุฒิ กล่าว

นายเศรษฐพุฒิ กล่าวอีกว่า เรื่องความยั่งยืนถือเป็นอีกหนึ่งกันชนที่สำคัญ หากเราไม่ปรับตัวในเรื่องนี้และยังเติบโตด้วยเครื่องยนต์แบบเดิมจะลำบาก ที่ผ่านมาเราไม่ได้ใส่ใจเรื่องการเติบโตเท่าที่ควร รายได้จากการเติบโตของเศรษฐกิจส่วนใหญ่จึงกระจุกตัวที่กำไรของบริษัท จึงเป็นประเด็นว่าหากเศรษฐกิจไทยไม่สามารถเติบโตในรูปแบบใหม่ได้ โอกาสที่เศรษฐกิจไทยจะโตอย่างมีเสถียรภาพ และทนทานจริง ๆ บนฐานที่กว้างจะเป็นไปได้ลำบาก

ทั้งนี้ หน้าที่ของ ธปท. เพื่อช่วยสนับสนุนให้เศรษฐกิจเติบโต คือ ต้องดูเรื่องนโยบายให้เหมาะสม ผสมผสานนโยบายการเงินในรูปแบบที่เอื้อให้เศรษฐกิจโตได้อย่างมีเสถียรภาพ โจทย์ที่สำคัญตอนนี้คือทำให้นโยบายต่าง ๆ กลับเข้าสู่ภาวะปกติ จึงนำไปสู่การปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายแบบค่อยเป็นค่อยไป เหมาะสม เพื่อให้เศรษฐกิจโตได้ในระดับเหมาะสม เงินเฟ้อกลับเข้ากรอบ ไม่สร้างความไม่สมดุลด้านการเงินมากเกินไป

“ตอนนี้ต้องกลับเข้าสู่ภาวะปกติ เกณฑ์ต่าง ๆ ที่ผ่อนปรนมากเกินไป ที่เคยเอื้อให้เกิดการปรับโครงสร้างหนี้ช่วงโควิด-19 ต้องเก็บของพวกนี้ ในยามที่สภาวะเปลี่ยนแปลง โลกเจอความเสี่ยงใหม่ ๆ และคาดการณ์ไม่ถึง เรื่องพวกนั้นเป็นอะไรที่ไม่เหมาะสม เทียบเคียงเหมือนกับฝนตก ถนนมืด แต่เราเหยียบคันเร่งเต็มที่คงไม่เหมาะ” นายเศรษฐพุฒิ กล่าว

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'เศรษฐา' โร่แจงไม่เคยพูดจะปลดผู้ว่าแบงก์ชาติ ปัดแก้กฎหมายลดอำนาจ ชี้เห็นต่างกันแต่ไม่ใช่คู่ขัดแย้ง

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงความเห็นที่ขัดแย้งระหว่างรัฐบาลกับ นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่มองว่าเป็นอุปสรรคต่อการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต

ปชป. ขวางแก้ 'พรบ.ธปท.' ลดอิสระแบงก์ชาติ สนองนายหญิง

ปชป. ย้ำจุดยืน ไม่เห็นด้วยแก้กฎหมายลดอิสระแบงก์ชาติ ยัน พ.ร.บ.ธปท. ฉบับปัจจุบันดีอยู่แล้ว ชี้ผู้ว่าการแสดงความเห็นสุจริตเพื่อบ้านเมือง ท้ารัฐบาลไม่พอใจปลดเลย

บรรยากาศเก่าๆ สมัย 'ระบอบทักษิณ' เริ่มย้อนกลับมา ให้กำลังใจกับคนที่ต่อสู้เพื่อความถูกต้อง

ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำคณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒน บริหารศาสตร์ (NIDA) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กระบุว่า

'สมาคมธนาคารไทย' ลดดอกเบี้ยตอกย้ำความขัดแย้งนายกฯกับผู้ว่าฯธปท.

'อดีตรมว.คลัง' ชี้สมาคมธนาคารไทยลดดอกเบี้ย ตอกย้ำความขัดแย้งระหว่างนายกฯ กับผู้ว่าฯแบงค์ชาติ กลยุทธ์ที่นายกฯ งัดมาใช้นั้นไม่สำเร็จ ไม่มีผลต่อการลงทุนภาคเอกชนเพราะเป็นเพียงระยะสั้น

'ผู้ว่าแบงก์ชาติ' รูดซิปปาก หลัง 'เศรษฐา' อ้างทุกภาคส่วนเห็นด้วยแจกเงินดิจิทัล

ภายหลังการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ที่มีนายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.ต่างประเทศ เป็นประธานการประชุม