มิสทิน พร้อมลุยสยายปีกต่างประเทศ ดัน 'ทีบิวตี้' ผงาดโลก

มิสทิน เตรียมบุกตลาดครั้งใหญ่ เล็งเจาะตลาดสหรัฐอเมริกา ยุโรป-ตะวันออกกลาง และภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พร้อมรีแบรนด์มิสทิน ชูเครื่องสำอางไทย ดัน“ทีบิวตี้” ผงาดโลก

25 มี.ค. 2567 – นายดนัย ดีโรจน์วงศ์ ประธานกรรมการ บริษัท เบทเตอร์เวย์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า แม้ตลาดเครื่องสำอางในประเทศไทยจะฟื้นตัวหลังจากโควิด แต่กำลังซื้อในปีนี้น่าจะยังคงทรงๆ บริษัทจึงเน้นขยายตลาดต่างประเทศมากขึ้น โดยให้ความสำคัญในการขยายตลาดไปที่ สหรัฐอเมริกา ยุโรป และตะวันออกกลาง โดยเฉพาะซาอุดีอาระเบีย อินเดีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ขณะเดียวกันก็ยังมีการขยายธุรกิจไปยังประเทศเพื่อนบ้าน เพราะตลาดเติบโตอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นเมียนมาที่แม้ว่าวันนี้จะมีปัญหาภายในประเทศ แต่ปีที่แล้วยอดขายมีการเติบโตถึง 200% ส่วนตลาดกัมพูชา เวียดนาม ก็เติบโตขึ้นเรื่อยๆ

“มิสทินได้เริ่มขยายตลาดไปยัง สหรัฐอเมริกา ยุโรป และประเทศภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้บ้างแล้ว โดยผ่านช่องทางอีคอมเมิร์ซ ธุรกิจไปได้เร็วและความนิยมก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง โดยอุตสาหกรรมความงามยังเติบโตได้ดีในประเทศที่มีกำลังจับจ่ายสูง มองว่าตลาดอินเดียเป็นตลาดที่น่าสนใจ มีจีดีพีเติบโตขึ้นเรื่อยๆ คนอินเดียเริ่มมีความกินดีอยู่ดีมากขึ้น จึงจะเป็นตลาดใหม่ของมิสทิน” นายดนัยกล่าว

นอกจากนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับซาอุดีอาระเบียที่ดีขึ้นเรื่อยๆ  มาตรการของรัฐบาลเรื่องฟรีวีซ่า ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวจากซาอุดีอาระเบียเดินทางเข้ามาประเทศไทยมากขึ้น จึงมีผลดีกับสินค้าไทยทุกอุตสาหกรรม จากอาหาร นวดสปา เสื้อผ้า ถึงเครื่องสําอางไทย

นายดนัย กล่าวว่า การก้าวไปสู่ตลาดใหม่ๆ ในอนาคต บริษัทจึงได้สร้างศูนย์วิจัยหรือศูนย์พัฒนาผลิตภัณฑ์ขึ้น 3 แห่งในประเทศไทย จีน และเยอรมนีตั้งแต่ปี 2019-2021 เพื่อพัฒนาสินค้าให้ตอบโจทย์ลูกค้าในแต่ละภาคพื้น เนื่องจากไลฟ์ไซเคิลของสินค้าสั้นลง การแข่งขันมากขึ้น บริษัทจึงต้องมีการลงทุนพัฒนาสินค้าอย่างต่อเนื่อง

ขณะเดียวกันเพื่อตอบรับเทรนด์รักษ์โลก และการเปลี่ยนแปลงของสภาวะแวดล้อม สินค้ามิสทินที่จะผลิตออกสู่ตลาด จึงต้องเป็นสินค้า  “บิวตี้แอนด์เฮลท์” และเทรนด์ตลาดที่เกี่ยวกับการดูแลตัวเอง เช่น เป็นสกินแคร์ บอดี้แคร์ เป็นต้น

มิสทินมีแผนจะวางตลาดสินค้าใหม่ พร้อมโชว์นวัตกรรมใหม่ๆ ในงานคอสโมพรอฟ ซีบีอี อาเซียน ที่จะจัดขึ้นที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ในเดือนมิถุนายนปีนี้

“คอสโมพรอฟ ซีบีอี อาเซียน จะเป็นเวทีให้เรา และแบรนด์เครื่องสําอางในอุตสาหกรรมความงามของคนไทยได้มีโอกาสโชว์เคสให้ชาวโลกเป็นที่รู้จักและมีโอกาสมาสัมผัสสินค้าดีๆ ของคนไทย” นายดนัยกล่าว

โดยในปีนี้มิสทินยังมีแผนจะแนะนำสินค้าใหม่ออกสู่ตลาด รวมทั้งการเปิดตัว ครีมกันแดด รุ่นใหม่ที่สามารถสู้กับความร้อนได้ถึง 40 องศา หรือยูวีที่แรงขึ้นในเร็วๆ นี้ จากปัจจุบันมิสทินมีครีมกันแดดกว่า 100 รายการให้เลือก นอกจากนี้บริษัทจะให้ความสำคัญกับการใช้งบทำกิจกรรมเกี่ยวกับซีเอสอาร์ตลอดทั้งปี โดยร่วมกับกรมทรัพยากรทางทะเล และชายฝั่ง ไปดำน้ำและปลูกปะการัง ดึงนักท่องเที่ยวชาวจีน บิวตี้บล็อกเกอร์ มาร่วมกิจกรรมเก็บขยะใต้ท้องทะเล โดยมิสทินจะทำกิจกรรมซีเอสอาร์มากขึ้น ไม่ใช่แค่ซื้อมาขายไปแล้วก็จบ เพราะองค์กรเล็กหรือใหญ่ต้องมีหน้าที่ในการช่วยกันรักษาทรัพยากรให้มากที่สุด หรือแม้กระทั่งการคิดสินค้าในแนวคิดใหม่ๆ ที่มีส่วนรักษ์โลกจะให้น้ำหนักมากขึ้นในปีนี้

อย่างไรก็ดี ปัจจุบันตลาดรวมเครื่องสำอางเมืองไทยมีมูลค่ากว่า 1 แสนล้านบาท ซึ่งราว 20% เป็นการจับจ่ายผ่านช่องทางของนักท่องเที่ยว เช่น คิงพาวเวอร์ ร้านวัตสัน ร้านบู๊ทส์ ซึ่งมิสทินมีแผนจะขยายตลาดไปยังช่องทางนี้เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในช่องทางดิวตี้ฟรี

เพิ่มเพื่อน